ติดต่อลงโฆษณา racingweb@gmail.com

แสดงกระทู้

ส่วนนี้จะช่วยให้คุณสามารถดูกระทู้ทั้งหมดสมาชิกนี้ โปรดทราบว่าคุณสามารถเห็นเฉพาะกระทู้ในพื้นที่ที่คุณเข้าถึงในขณะนี้


ข้อความ - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 6
1
บริหารจัดการอาคาร: อากาศร้อนทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติจริงหรือ

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ประเทศไทยของเรานั้น เป็นประเทศที่มีอากาศร้อนอบอ้าวมาก ซึ่งคนไทยส่วนใหญ่มักจะชื่นชอบอากาศเย็นมากกว่าอากาศร้อนอย่างแน่นอน
ทำให้หลายบ้านจำเป็นต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศ เพื่อคลายร้อน แต่ก็ต้องแลกกับการที่เราจะต้องมานั่งเสียค่าไฟ เสียค่าใช้งานจากการที่เราใช้แอร์ ซึ่งแอร์ ถือว่าเป้นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใช้ไฟเปลืองมากที่สุด และยิ่งต้องมาสู้กับสภาพอากาศบ้านเราแล้วด้วย ต้องบอกเลยว่า ต้องจ่ายค่าไฟมหาศาลเลยในแต่ละเดือน แต่ก็ยังมีเทคนิคหลายอย่างในการใช้งานแอร์ที่จะทำให้เราสามารถประหยัดไฟไปได้เยอะ นั่นก็คือ การล้างทำความะสอาดแอร์ รวมไปถึงปัจจัยหลายๆอย่าง เช่น การติดตั้งแอร์ในตำแหน่งที่เหมาะสม หรือการเลือกซื้อแอร์ที่มีค่า BTU เหมาะสมกับขนาดห้องปัจจัยเหล่านี้ล้วนส่งผลต่อการทำงานของแอร์ทั้งสิ้น

ดังกล่าวหากคิดที่จะติดตั้งแอร์หรือเครื่องปรับอากาศแล้วก็ต้องปรึกษาช่างหรือศึกษารายละเอียดให้ดี ดีกว่าต้องมาแก้ไขปัญหาทีหลัง ซึ่งจะยิ่งทำให้เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มไปอีก

ทั้งหมดที่กล่าวมานั้น เป็นปัจจัยที่เราสามารถเลือกและควบคุมได้ ในการที่เราจะทำให้แอร์ของเราสามารถใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและช่วยบำรุงรักษาให้เราใช้แอร์ไปได้ยาวๆ โดยไม่เสื่อสภาพก่อนถึงเวลาอันควร แต่ก็ยังมีอีกหลายๆปัจจัยที่เราไม่สามารถควบคุมได้นั่นก็คือ สภาพอากาศที่ร้อนมากๆนั่นเอง

หลายคนก็เกิดความสงสัยว่าจริงๆแล้ว อากาศที่ร้อนมากๆ จะทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็วกว่าปกติหรือไม่ วันนี้ทางเราจะมาพูดถึงประเด็นดังกล่าวเพื่อให้ความรู้กับพ่อบ้านแม่บ้านกันเพื่อเป็นแนวทางในการใช้งานแอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย

โดยปกติแล้ว สภาพอากาศมีส่วนต่อการทำงานของแอร์ แต่ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้แอร์เกิดการเสื่อมสภาพเร็วหรือเกิดการเสียหายได้ ไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ เครื่องมือ และสภาพแวดล้อมหรือปัจจัยต่างๆ ที่ทำให้เครื่องปรับอากาศนั้นมีอายุการทำงานได้สั้นลง ทั้งนี้อากาศร้อนของเมืองไทยนั้นก็เป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เครื่องปรับอากาศนั้นเสื่อมสภาพลง เช่น คอมเพรสเซอร์แอร์นั้นติดตั้งในฝั่งที่มีแสงแดดส่องถึงอยู่ตลอดเวลา ไม่มีร่มบังแดดบังฝนอาจจะทำให้เครื่องปรับอากาศร้อนขึ้นได้ง่าย ซึ่งควรที่จะทำพื้นที่ในการบังแดดเพื่อที่จะยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศและมีอากาศเย็นๆ ไหลเวียนอยู่ตลอดเวลาทุกครั้งที่เปิด

หากต้องการยืดอายุการใช้งานให้ยาวนานยิ่งขึ้น ก็ควรติดตั้งคอมเพรสเซอร์แอร์ห่างจากผนังบ้านประมาณ 10 cm และบริเวณหน้าคอมเพรสเซอร์ไม่ควรมีสิ่งใดมาบดบัง ประมาณ 60 – 80 cm จัดวางในตำแหน่งไม่โดนฝนสาดง่าย ไม่โดนแสงแดดโดยตรงตลอดทั้งวัน กรณีวางบนพื้นระเบียง ควรให้สูงกว่าพื้นประมาณ 10 cm เพื่อป้องกันน้ำท่วมขัง

ดังนั้น อาจจะต้องรักษาสภาพของคอมเพรสเซอร์ให้ดีสมบูรณ์อยู่เสมอก็จะทำให้ความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำงานได้เต็มที่
หรือ ผลกระทบที่ส่งผลมากที่สุดคือความร้อนแรงของแสงแดด หากห้องที่ติดแอร์มีผนังที่ค่อนข้างบาง ก็สามารถทำให้ความร้อนจากแสงแดดเข้ามาสู่ภายในได้ หากผนังบ้านมีความบาง ควรที่จะหาวัสดุกันความร้อนหรือทาสีกันความร้อนเพื่อบรรเทาความร้อนของบ้านได้ส่วนหนึ่ง และทำให้เครื่องปรับอากาศของคุณทำงานได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ความร้อนถึงแม้ว่าจะมีส่วนที่ทำให้แอร์เสื่อมสภาพเร็ว แต่ถ้าหากเราเลือกแอร์ที่มี BTU ที่เหมาะสมกับห้อง ก็อาจจะสามารถช่วยได้

ทั้งนี้เราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสม  หรือก่อนติดตั้งควรดูจากหลายปัจจัยที่จะทำให้แอร์ของเรามีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ถ้ามีข้อสงสัยหรืออยากปรึกษาเกี่ยวกับการติดตั้งเครื่องปรับอากาศ ไม่ว่าจะเป็นในอาคาร สำนักงาน หรือในบ้าน ก็สามารถปรึกษาเราได้ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมากเพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า
ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

2
คำถามยอดนิยม การจัดฟันเด็ก แพงหรือไม่ ?

การเข้ารับการจัดฟัน เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากในปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างฟัน และลักษณะของฟันที่มีการขึ้นแบบผิดปกติจะสามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ยากขึ้น เช่นเดียวกันกับเด็กที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันก็จะทำให้รู้สึกไม่มั่นใจและรับประทานอาหารได้ไม่เต็มที่ ส่วนหนึ่งมาจากพฤติกรรมในวัยเด็กที่ส่งผลทำให้การขึ้นของฟันแท้มีความผิดปกติบวกกับพฤติกรรมการรับประทานอาหาร

เนื่องจากเด็กมักชอบรับประทานอาหารที่มีรสหวานหรือเครื่องดื่มที่มี ส่วนผสมของน้ำตาลเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดฟันผุได้ง่าย ดังนั้น การทำความสะอาดช่องปากและฟันของเด็ก ถือเป็นเรื่องที่พ่อแม่ผู้ปกครองควรช่วยกันดูแลให้บุตรหลานของท่านรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกวิธีตั้งแต่อายุยังน้อยหรือตั้งแต่ยังมีฟันน้ำนม ซึ่งฟันน้ำนมนั้น เป็นส่วนสำคัญในกระบวนการขึ้นของฟันแท้ เพราะฉะนั้น การดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของลูกน้อยของท่าน ควรได้รับการดูแลตั้งแต่ช่วงฟันน้ำนมเพราะถ้าหากเด็กได้รับการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันก็จะทำให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ป้องกันการเกิดฟันผุและโรคเหงือกอักเสบที่อาจจะตามมาได้ในอนาคต  ในปัจจุบัน


พ่อแม่ผู้ปกครองเริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพฟันของเด็กประกอบกับได้มีการจัดฟันในเด็กซึ่งถือเป็นนวัตกรรมในวงการทันตกรรมที่ได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกัน เพราะสามารถแก้ไขปัญหาฟันของเด็กได้ตั้งแต่อายุ 12 -15 ปี และยังมีการจัดฟันในเด็กที่เรียกว่าการจัดฟัน EF LINE ซึ่งการจัดฟันในรูปแบบนี้สามารถรักษาปัญหาฟันในเด็กได้ตั้งแต่อายุ 4-15 ปีเลยทีเดียว ซึ่งต้องบอกว่าวงการทันตกรรมของเราในปัจจุบันถือว่า ก้าวหน้าไปมากทำให้ปัญหาต่างๆเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันได้รับการรักษาที่มีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดมีความสนใจที่จะให้บุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ก็มีข้อกังวลนั่นก็คือในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าการจัดฟันในเด็กนั้นจะต้อง มีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ วันนี้ทางคลินิกของเราจะมาพูดถึงค่าใช้จ่ายในเรื่องของการจัดฟันในเด็กเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองได้เลือกแนวทางที่เหมาะสมกับตนเองมากที่สุดและได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพด้วย


สำหรับเรื่องค่าใช้จ่ายในการจัดฟันในเด็ก คือสิ่งแรกที่พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคน อยากจะทราบซึ่งในประเทศไทยของเราถ้าจัดฟันในเด็กจะอยู่ที่ประมาณ 10,000 – 50,000 บาท แต่ราคาก็จะขึ้นอยู่กับคลินิกทันตกรรมด้วย ซึ่งแต่ละที่ก็จะมีความแตกต่างกันรวมไปถึงจะขึ้นอยู่กับปัญหาของฟันของเด็กด้วย แต่ในข้อนี้ก็ไม่ต้องกังวลเพราะค่าจัดฟันในเด็กจะเป็นการทยอยจ่ายเช่นเดียวกับการจัดฟันในผู้ใหญ่ แต่การจัดฟันในเด็กก็อาจจะมีรายละเอียดของเครื่องมือบางชนิดที่มีความแตกต่างจากการจัดฟันในผู้ใหญ่ ซึ่งค่าใช้จ่ายทั้งหมดก็เป็นสิ่งที่ไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากปัญหาในช่องปากและฟันของเด็กแต่ละคนมีความแตกต่างกัน ยิ่งถ้าเด็กบางคนมีปัญหาของขากรรไกรร่วมด้วย การรักษาก็จะยุ่งยากซับซ้อนมากยิ่งขึ้นอาจจะต้องใช้เครื่องมือแบบพิเศษซึ่งก็จะมีค่าใช้จ่ายที่มากกว่าปกตินั่นเอง ซึ่งค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน เราสามารถปรึกษากับทางคลินิกได้


สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใดที่อยากพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกของเรา ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ทางด้านทันตกรรมของเด็กมาอย่างยาวนาน ทั้งยัง มีเจ้าหน้าที่ที่คอยให้คำปรึกษาและแนะนำในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการจัดฟัน ซึ่งต้องบอกว่า พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ต้องกังวล เพราะท่านสามารถวางแผนในเรื่องของค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับตัวเองได้ เพราะเราอยากให้เด็กทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีตั้งแต่อายุยังน้อย เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีสุขภาพช่องปากและฟันที่แข็งแรง มีรอยยิ้มที่สดใส และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

3
การสร้างอาชีพ จากเมนูปลากะพงราดซอสกะเพราเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบเข้ากับรสชาติที่จัดจ้านของกะเพรา

สูตรอาหารไทยที่ทำง่ายแต่มีรสชาติจัดจ้านปลากะพงราดซอสกะเพราเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบ อาหารจานนี้ผสมผสานเนื้อสัมผัสอันละเอียดอ่อนของปลากะพงทอดกรอบเข้ากับรสชาติที่จัดจ้านของกะเพรา กระเทียมและพริกเป็นการนำผัดกะเพราแบบคลาสสิกมาปรุงใหม่ โดยเสิร์ฟบนปลาแทนที่จะเป็นเนื้อสัตว์ตามปกติ ลองทำดูรับรองอร่อย ทำง่าย ได้รสชาติกระเพราเข้มข้นแน่นอน

วัตถุดิบ:
ปลากะพง 1 ตัว (ทำความสะอาดแล้วแล่ หรือใช้เนื้อปลาแทนได้)

ใบกระเพราสด 1 ถ้วย

กระเทียมสับ 4–5 กลีบ

พริกขี้หนูสับ 4–5 เม็ด (ปรับรสตามชอบ)

ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ

ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ

น้ำตาล 1 ช้อนชา

น้ำมันสำหรับทอด
คำแนะนำ:
เตรียมปลา
ทำความสะอาดเนื้อปลากะพงและซับให้แห้ง ปรุงรสด้วยเกลือเล็กน้อย ทอดในน้ำมันท่วมหรือทอดในกระทะจนหนังปลากรอบและเป็นสีน้ำตาลทอง พักไว้ในจานที่รองด้วยกระดาษเช็ดครัวเพื่อซับน้ำมันส่วนเกินออก

ทำซอสกระเพรา
ในกระทะหรือกระทะใบใหญ่ ใส่น้ำมันเล็กน้อยแล้วผัดกระเทียมและพริกจนมีกลิ่นหอม ใส่ซอสหอยนางรม ซีอิ๊ว น้ำปลา และน้ำตาล คนให้เข้ากัน จากนั้นใส่ใบโหระพาลงไป ผัดสักครู่จนโหระพาสลด

เคล็ดลับ:
ถ้าชอบรสจัดจ้าน สามารถเพิ่มพริกขี้หนูได้ตามชอบ
การใส่ใบกระเพราในขั้นตอนสุดท้ายจะทำให้ใบกระเพรามีสีสวยและไม่เหี่ยวจนเกินไป
สามารถเพิ่มพริกไทยอ่อนลงในซอสกระเพราเพื่อเพิ่มความหอมและเผ็ดร้อนได้

ประกอบอาหาร
ราดซอสโหระพาเผ็ดร้อนลงบนเนื้อปลาทอดกรอบ ตกแต่งด้วยใบโหระพาหรือพริกหั่นแว่นหากต้องการ เสิร์ฟร้อนๆ กับข้าวหอมมะลินึ่ง

ทำไมคุณถึงจะรักมัน
เมนูนี้ใครๆ ก็ชอบ เพราะกรอบ เผ็ด หอม อร่อย ลงตัวสุดๆ ใบกระเพราให้รสชาติเผ็ดเล็กน้อยและหวานเล็กน้อยที่เป็นเอกลักษณ์ของไทย ส่วนปลากะพงทอดก็ให้ความกรุบกรอบตัดกับซอสรสเข้มข้นได้ดี ที่สำคัญคือปรุงง่าย เหมาะกับมื้อเย็นวันธรรมดาหรือมื้อพิเศษกับเพื่อนๆ

4
วัดพระศรีอารย์สร้างขึ้นในสมัยปลายกรุงศรีอยุธยาเชิญชวนใส่ชุดขาวหญิง ฝึกปฏิบัติพัฒนาจิต เจริญเมตตา

วัดพระศรีอารย์เป็นวัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในจังหวัดราชบุรีเป็นวัดที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และศิลปะ มีพระพุทธรูปและภาพเขียนฝาผนังที่สวยงามมากมาย วัดพระศรีอารย์เป็นสถานที่พักผ่อนอันเงียบสงบสำหรับผู้ที่ต้องการใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดพระศรีอารย์ปฏิบัติธรรมและเสริมสร้างความสมบูรณ์ทางจิตวิญญาณ

วัดแห่งนี้รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและทิวทัศน์ที่เงียบสงบเป็นสถานที่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการทำสมาธิและการไตร่ตรอง ช่วยให้ผู้เยี่ยมชมหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน

ความสำคัญของวัดพระศรีอารย์
วัดแห่งนี้มีรากฐานที่ลึกซึ้งในประเพณีและการปฏิบัติทางพุทธศาสนา ทำให้เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับการพัฒนาจิตวิญญาณ วัดได้รับการตั้งชื่อตามพระพุทธเจ้าในอนาคต คือ พระศรีอริยเมตไตรย วัดนี้เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ปัญญาและเส้นทางสู่การตรัสรู้ พื้นที่ของวัดได้รับการออกแบบมาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการมีสติ ทำให้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมสำหรับผู้ที่ต้องการทำความเข้าใจธรรมะให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น

การปฏิบัติธรรมที่วัด
วัดพระศรีอารย์จัดให้มีการทำสมาธิเป็นประจำ โดยมีพระภิกษุผู้มีประสบการณ์เป็นผู้นำ ซึ่งจะนำผู้ปฏิบัติธรรมโดยสอนหลักสติ สมาธิและหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า การฝึกปฏิบัติเน้นที่ความแจ่มใสของจิตใจ ความสงบและการเจริญเมตตา ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้เริ่มต้นหรือผู้ปฏิบัติธรรมที่มีประสบการณ์ วัดแห่งนี้ก็พร้อมให้สภาพแวดล้อมที่สนับสนุนการเดินทางทางจิตวิญญาณของคุณ

กิจกรรมประกอบด้วย:
การนั่งสมาธิ:เซสชั่นการทำสมาธิแบบมีคำชี้นำมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาสติ (วิปัสสนา) และสมาธิ (สมถะ) ซึ่งช่วยให้ผู้ปฏิบัติตระหนักถึงความคิดและอารมณ์ของตัวเองมากขึ้น
การเดินสมาธิ:สำรวจบริเวณวัดอันเงียบสงบในขณะที่ฝึกเดินอย่างมีสติ ซึ่งเป็นเทคนิคที่ส่งเสริมการเชื่อมโยงกับช่วงเวลาปัจจุบันอย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ธรรมเทศนา:พระภิกษุสงฆ์มักจะแสดงธรรมะเกี่ยวกับปรัชญาพุทธและวิธีนำหลักธรรมมาใช้ในชีวิตประจำวัน ธรรมเทศนาเหล่านี้ให้ความรู้และให้ปัญญาในเชิง

ปฏิบัติเพื่อการเติบโตทางจิตวิญญาณ
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
วัดพระศรีอริยะมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันเพื่อรองรับทั้งผู้มาเยี่ยมชมแบบไปเช้าเย็นกลับและผู้ที่ต้องการพักค้างคืน มีที่พักพื้นฐานสำหรับผู้มาเยี่ยมชมแบบค้างคืน ซึ่งช่วยให้พวกเขาได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศอันเงียบสงบอย่างเต็มที่ วัดยังมีอาหารมังสวิรัติตามหลักปฏิบัติของพุทธศาสนาที่ไม่ทำร้ายผู้อื่นและดำเนินชีวิตอย่างมีสติอีกด้วย

วิธีการเยี่ยมชม
วัดพระศรีอารย์อยู่ห่างจากกรุงเทพฯ เพียงระยะทางสั้นๆ สามารถเดินทางไปได้สะดวกด้วยรถยนต์หรือระบบขนส่งสาธารณะ วัดแห่งนี้เป็นจุดหมายปลายทางที่สมบูรณ์แบบสำหรับการพักผ่อนทางจิตวิญญาณในช่วงสุดสัปดาห์หรือทริปหนึ่งวันเพื่อไตร่ตรองและเติบโตในชีวิต ช่วงเวลาที่ดีที่สุดในการเยี่ยมชมคือช่วงเช้าตรู่ซึ่งบรรยากาศจะสงบและอากาศจะเต็มไปด้วยเสียงสวดมนต์ของพระสงฆ์

วัดพระศรีอารย์ในจังหวัดราชบุรีไม่ได้เป็นเพียงวัดเท่านั้น แต่ยังเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้ การไตร่ตรองและการฟื้นฟูจิตวิญญาณ ไม่ว่าคุณต้องการเริ่มปฏิบัติธรรมหรือต้องการเพิ่มพูนสมาธิที่มีอยู่ วัดแห่งนี้ก็เป็นสถานที่ที่สมบูรณ์แบบสำหรับความสงบภายในและการมีสติ ออกเดินทางสู่เส้นทางจิตวิญญาณที่วัดพระศรีอริยเมตไตรย และค้นพบพลังแห่งการเปลี่ยนแปลงของการปฏิบัติธรรมในบรรยากาศสงบและเป็นธรรมชาติ

5
คอนโดติดรถไฟฟ้า เฟล็กซี่ สุขสวัสดิ์ (Flexi Suksawat)
เริ่มต้น 1.59 ลบ.

เฟล็กซี่ สุขสวัสดิ์ (Flexi Suksawat)
คอนโดใหม่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ให้คุณใช้ชีวิตลื่นไหลอย่างเต็มที่ไม่มีสะดุด ด้วยทำเลศักยภาพ เชื่อมต่อถนนสายหลัก ทางด่วน และถนนวงแหวนฯ ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ แวดล้อมด้วยแหล่งงานและแหล่งไลฟ์สไตล์ ครบครันด้วยสิ่งอำนวนความสะดวกทั้งสระว่ายน้ำ ฟิตเนส Co-working Space พร้อมการออกแบบฟังก์ชันห้องที่ตอบโจทย์ทุกการอยู่อาศัย

 รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ             เฟล็กซี่ สุขสวัสดิ์ (Flexi Suksawat)
 เจ้าของโครงการ       เสนาดีเวลลอปเม้นท์
 ราคา                    เริ่มต้น 1.59 ลบ.

 ราคาเฉลี่ยต่อตร.ม.   โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ลักษณะทำเล          คอนโดใกล้ขนส่งสาธารณะ
 ความสูงคอนโด        Low Rise (ไม่เกิน 8 ชั้น)
 ลักษณะกรรมสิทธิ์    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ประเภทห้องที่มี      1 ห้องนอน
 ขนาดห้องที่มี        ตั้งแต่ 22.50 ถึง 35.50 ตร.ม.
 เนื้อที่ทั้งหมด        3 ไร่ 3 งาน 87 ตร.ว.
 จำนวนตึก            3 อาคาร
 จำนวนชั้น            8 ชั้น
 จำนวนห้อง          493 ยูนิต
 ที่จอดรถทั้งหมด     โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 ค่าบำรุงส่วนกลาง    โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สาธารณูปโภค          สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., กล้องวงจรปิดโครงการ, ประตู Key Card, อื่นๆ (PRIVATE FLOW LOBBY, FLOWTAINMENT THEATER, AIRFLOW TERRACE, FLOW LIVING SERVICES, EV STATION, LADY PARKING, DISABLE PARKING), สวนหย่อม, Co-Working Space

 สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          คลองสาน, เจริญนคร, รัชดา-ท่าพระ, เพชรเกษม
 ที่ตั้ง         ถ.สุขสวัสดิ์ แขวงบางปะกอก เขตราษฎร์บูรณะ กรุงเทพมหานคร 10140

 ขนส่งสาธารณะ
รถไฟฟ้า:          โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
บิ๊กซี บางปะกอก
แม็คโคร บางปะกอก
ตลาดอินดี้ ดาวคะนอง
โลตัส บางปะกอก
โรงพยาบาลบางประกอก 1
โรงพยาบาลประชาพัฒน์
โรงพยาบาลสุชสวัสดิ์
โรงพยาบาลบางปะกอก 9 อินเตอร์เนชั่นแนล
โรงพยาบาลบางขุนเทียน 1
โรงพยาบาลนครธน

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

6
ทาวน์โฮม สิริ เพลส รังสิต 2 (Siri Place Rangsit 2)
เริ่มต้น 2.39 ลบ.

สิริ เพลส รังสิต 2 (Siri Place Rangsit 2)
ทาวน์โฮม 2 ชั้นดีไซน์ใหม่ ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเมืองอัมสเตอร์ดัม มีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบบ้าน โดดเด่นด้วยการออกแบบที่ใช่ทั้งคุณภาพ ฟังก์ชันครบครัน ปรับเปลี่ยนได้ทุกไลฟ์สไตล์ บนทำเลรังสิตที่ครบทุกศักยภาพ เชื่อมต่อสู่ใจกลางเมืองได้สะดวกและรวดเร็ว

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ           สิริ เพลส รังสิต 2 (Siri Place Rangsit 2)
 เจ้าของโครงการ      แสนสิริ
 แบรนด์ย่อย           สิริ เพลส
 ราคา                   เริ่มต้น 2.39 ลบ.

 ประเภทบ้าน         ทาวน์เฮ้าส์ ทาวน์โฮม (Townhouse Townhome)
 ลักษณะทำเล        บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ         33 ไร่
 จำนวนบ้าน            370 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     3 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            ตั้งแต่ 16.5 ถึง 30 ตร.ว.
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 99 ถึง 128 ตร.ม.
 จำนวนชั้น             2 ชั้น
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน      ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ      ตั้งแแต่ 1 ถึง 2 คัน
 สาธารณูปโภค       สวนสาธารณะ, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, สนามเด็กเล่น, Co-working space

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน        ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง        ถนนรังสิต-ปทุมธานี ตำบลสวนพริกไทย อำเภอเมืองปทุมธานี จังหวัดปทุมธานี 12000

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, สถานี(บางซื่อ - รังสิต)(รังสิต)
ใกล้ทางด่วน (ทางพิเศษอุดรรัถยา ด่านบางพูน, ทางยกระดับอุตราภิมุข)
ขนส่งอื่นๆ ท่าอากาศยานดอนเมือง

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
ศูนย์การค้า/ไลฟ์สไตล์
1.โลตัส รังสิต 5.4 กม.
2.เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ รังสิต 6.9 กม.
3.เดอะไนน์ เซ็นเตอร์ 7 กม.
4.ฟิวเจอร์พาร์ค รังสิต 7.1 กม.

สถานศึกษา
1.Thai International School 5.1 กม.
2.โรงเรียนเซนต์โยเซฟ เมืองเอก 5.9 กม.
3.มหาวิทยาลัยรังสิต 8 กม.
4.มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 10.7 กม.
5.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต 13.3 กม.

โรงพยาบาล
1.โรงพยาบาลปทุมเวช 4.4 กม.
2.โรงพยาบาลกรุงสยามเซนต์คาร์ลอส 4.8 กม.
3.โรงพยาบาลเปาโล รังสิต 5.7 กม.

 ปีที่สร้างเสร็จ
โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ

7
Doctor At Home: ท่อน้ำตาอุดตัน (Nasolacrimal duct obstruction) - ถุงน้ำตาอักเสบ (Dacryocystitis)

ท่อน้ำตาเป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำตา* บางครั้งอาจมีเหตุทำให้ท่อน้ำตาอุดตัน มีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา

ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา พบมากในทารก และผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

มักเป็นที่ตาเพียงข้างเดียว แต่ก็อาจเป็นทั้ง 2 ข้างก็ได้

เมื่อท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ ก็จะมีเชื้อโรคเข้าไป เกิดการติดเชื้อในถุงน้ำตา กลายเป็น ถุงน้ำตาอักเสบ

*ระบบน้ำตา (lacrimal system) ประกอบด้วยต่อมน้ำตา (lacrimal gland) ที่อยู่ใต้เปลือกตาบน ทำหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาหล่อลื่นและทำความสะอาดผิวหน้าของตา (ได้แก่ เยื่อบุตาและกระจกตา) น้ำตาที่ออกมาที่ตามีการไหลเวียน เปิดโอกาสให้มีน้ำตาใหม่เข้ามาแทนที่น้ำตาเก่า  โดยน้ำตาเก่าจะไหลลงรูเปิดของทางเดินน้ำตา (lacrimal punctum ซึ่งเป็นรูเล็ก ๆ เปิดอยู่ที่ขอบเปลือกตาบนและล่างตรงมุมหัวตา) ผ่านคลองน้ำตา (lacrimal canal) ลงมาที่ถุงน้ำตา (lacrimal sac ซึ่งอยู่ตรงหัวตาข้างสันจมูก) และท่อน้ำตา (nasolacrimal duct ซึ่งทอดลงมาตามผนังด้านข้างของจมูก) ในที่สุดน้ำตาก็จะระบายลงโพรงจมูกด้านล่าง (Inferior nasal meatus)


สาเหตุ

ท่อน้ำตาอุดตัน ในทารกอาจเกิดจากท่อน้ำตายังเปิดไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือเกิดจากมีเยื่อเมือกและเซลล์ที่อยู่ในน้ำคร่ำขณะที่อยู่ในครรภ์มารดาเข้าไปอุดตันอยู่ภายในท่อน้ำตา หรือเกิดจากเยื่อตาขาวอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียขณะคลอด ทำให้มีขี้ตาลงไปอุด

ในผู้ใหญ่ การอุดกั้นของท่อน้ำตาอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น รูเปิดของท่อน้ำตาตีบแคบลงจากความเสื่อมตามอายุขัยที่มากขึ้น, การได้รับบาดเจ็บตรงกระดูกข้างจมูก, เยื่อตาขาวอักเสบเรื้อรัง, ไซนัสอักเสบเรื้อรัง, ติ่งเนื้อเมือกจมูก (nasal polyps), สิ่งแปลกปลอมในท่อน้ำตา, เนื้องอกหรือมะเร็งในบริเวณจมูก, การผ่าตัดตา จมูกหรือไซนัส,  การใช้ยาหยอดตารักษาโรคต้อหิน, การได้รับรังสีบำบัดบริเวณศีรษะหรือใบหน้าเป็นต้น บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

ถุงน้ำตาอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น สแตฟีโลค็อกคัส, สเตรปโตค็อกคัส, ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ


อาการ

ท่อน้ำตาอุดตัน มีอาการน้ำตาไหลมาก จนเอ่อคลอเบ้าตาข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เกี่ยวกับการร้องไห้ หรือมีเรื่องเศร้าโศกเสียใจ ต้องคอยเช็ดน้ำตาบ่อย ๆ

ในทารกจะสังเกตว่ามีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด และบางครั้งมีขี้ตาออกมาเป็นครั้งคราว

ถุงน้ำตาอักเสบ ในรายที่เป็นชนิดเฉียบพลัน จะมีไข้ มีตุ่มนูนตรงหัวตา เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา แล้วตุ่มนูนก็ยุบลง แต่ต่อมาก็กลับนูนขึ้นเช่นเดิมอีก ถ้าเป็นรุนแรงตุ่มนูนนั้นจะมีอาการปวดแดงร้อนคล้ายฝี ซึ่งอาจแตก มีน้ำตาและหนองไหลออกมา


ภาวะแทรกซ้อน

ท่อน้ำตาอุดตัน ทำให้มีน้ำตาค้างและหมักหมมอยู่ที่ระบบน้ำตา กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค อาจทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบ และถุงน้ำตาอักเสบ

ถุงน้ำตาอักเสบ หากได้รับการรักษา มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาจกลายเป็นถุงน้ำตาอักเสบเรื้อรัง (จะมีอาการน้ำตาและหนองไหลออกมาเรื้อรัง โดยไม่มีไข้ และไม่พบตุ่มนูนชัดเจน)

ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายู) และในทารกที่เป็นถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน (congenital acute dacryocystitis) อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อโรคลุกลามเข้าไปที่ตา ทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ แผลกระจกตา เบ้าตาอักเสบ (orbital cellulitis ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้) นอกจากนี้ เชื้ออาจเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดฝีในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โลหิตเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรง

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจเพิ่มเติมดังนี้

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน การใช้นิ้วกดตรงหัวตาข้างสันจมูก จะพบว่ามีน้ำตาที่เป็นเมือกทะลักออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

  บางรายแพทย์จะใช้วิธีการหยอดน้ำสีเหลืองส้ม (ซึ่งเป็นสีเรืองแสง - fluorescein dye ที่ใช้ในการตรวจตา ไม่มีอันตราย) หยอดลงไปในตา ถ้าสีเหลืองระบายหายไปใน 2-3 นาที แสดงว่าท่อน้ำตาไม่มีการอุดตัน แต่ถ้าสีเหลืองยังคงค้างอยู่ที่ตา ก็บ่งชี้ว่าท่อน้ำตาข้างนั้นน่าจะมีการอุดตัน (วิธีนี้เรียกว่า "Dye disappearance test")

ในผู้ใหญ่บางราย แพทย์อาจทดสอบโดยการใช้เข็มเล็ก (ปลายตัดไม่คม) แยงลงไปทางรูเปิดของท่อน้ำตา แล้วใช้น้ำเกลือฉีดลงไป ถ้าผู้ป่วยรู้สึกถึงน้ำเกลือเค็ม ๆ ไหลลงคอ แสดงว่าท่อน้ำตาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยมีท่อน้ำตาอุดตัน น้ำตาจะไหลเอ่อล้นกลับออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจทำการถ่ายภาพระบบทางเดินน้ำตาด้วยเอกซเรย์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการฉีดสารทึบแสง เพื่อตรวจดูตำแหน่งที่อุดตัน

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน จะตรวจพบตุ่มนูน ปวด แดง ร้อนที่หัวตา และอาจตรวจพบว่ามีไข้ร่วมด้วย เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา บางรายแพทย์อาจนำหนองไปตรวจหาเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

สำหรับเด็กเล็กที่เป็นโรคท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์มักจะแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการ (ซึ่งในทารกมักจะหายได้เองเมื่อท่อน้ำตาเจริญเต็มที่เมื่ออายุได้ 2-3 เดือน) หรือแนะนำให้พ่อแม่ทำการนวดบริเวณหัวตา (ตรงตำแหน่งของท่อน้ำตาที่อุดตัน) ซึ่งจะช่วยดันให้แผ่นพังผืดบาง ๆ ที่ขวางลิ้นเปิดปิดในท่อน้ำตาเปิดออก ประมาณร้อยละ 70-90 จะหายเป็นปกติได้เองภายใน 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง

ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ โดยตรวจพบมีขี้ตาเหลือง ๆ เขียว ๆ แพทย์จะให้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตาที่มีตัวยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการถ่างท่อน้ำตาด้วยการใช้อุปกรณ์แยงท่อน้ำตา หรือใส่ท่อที่มีบัลลูนตอนปลายแยงเข้าท่อน้ำตาแล้วเป่าบัลลูนให้ท่อน้ำตาขยาย หรือการใส่ท่อเล็ก ๆ (ที่ทำด้วยซิลิโคนหรือโพลิยูลีเทน) คาไว้ในท่อน้ำตานาน 3 เดือน เพื่อถ่างให้ท่อน้ำตาขยาย

หากไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่ (dacryocystorhinostomy)

สำหรับผู้ใหญ่ที่มีท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์จะรักษาด้วยการล้างท่อน้ำตา หากไม่ได้ผลก็จะทำการถ่างท่อน้ำตาด้วยเทคนิคต่าง ๆ หากไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่

และถ้าพบว่ามีสาเหตุชัดเจน ก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น รักษาโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ (ตุ่มฝีขึ้นที่หัวตา) ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ ให้ยาแก้ปวดและยาป้ายตาหรือยาหยอดตาปฏิชีวนะ ถ้าอักเสบรุนแรงให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน) สัก 5-7 วัน ถ้าไม่ยุบหรือกลับเป็นซ้ำอีก แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ และทำการแก้ไขภาวะท่อน้ำตาอุดตัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง มีอาการน้ำเอ่อคลอเบ้าตา มีตุ่มนูนตรงหัวตาซึ่งเมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำตาอุดตัน หรือถุงน้ำตาอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีน้ำตาไหลมากขึ้น มีไข้สูง ถุงน้ำตาอักเสบบวมแดงมากขึ้น หรือเยื่อตาขาวอักเสบ (ตาแดง ตาแฉะ)
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก

ส่วนในผู้ใหญ่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดท่อน้ำตาอุดตันลงได้ ด้วยการป้องกันโรคเยื่อตาขาวอักเสบ (หมั่นล้างมือให้สะอาด อย่าเผลอขยี้ตา เป็นต้น) และรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ ไซนัสอักเสบ ติ่งเนื้อเมือกจมูก เป็นต้น)

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ สามารถป้องกันด้วยการรักษาท่อน้ำตาอุดตันให้หายขาด


ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีน้ำตาไหลผิดปกติ นอกจากท่อน้ำตาอุดตันแล้วยังอาจเกิดจากขนตาเก* ควรซักถามอาการ และตรวจดูให้แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร ก็ควรแนะนำผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์ทุกราย
 

*ขนตาเก (trichiasis) ซึ่งหมายถึงอาการขนตาแยงเข้าด้านในนั้น ยังอาจเกิดจากการติดเชื้องูสวัด กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน การถูกสารเคมีหรือความร้อนที่เปลือกตา การบาดเจ็บ หรือการผ่าตัดเปลือกตา ควรแก้ไขด้วยการถอนขนตา หรือใช้ไฟฟ้าหรือความเย็นจี้ หรือฉายรังสี

8
จัดฟันบางนา: ปัญหา “ฟันห่าง” ป้องกันได้หรือไม่ ?

เชื่อว่าหลายๆท่านคงอาจจะกำลังมีปัญหากับช่องว่างระหว่างฟันที่มีความห่างกันมากจนเกินไป หรือคนรอบข้างอาจจะมีปัญหานี้ก็ตามแต่ ล้วนแต่สร้างความไม่มั่นใจให้กับบุคคลผู้นั้น สิ่งแรกเลยคือ ไม่มั่นใจในขณะพูดคุย ไม่กล้ายิ้ม และหากปล่อยไว้อาจจะส่งผลกับการกัดอาหารตามมาด้วย

แต่ถึงอย่างไรก็ตามถือว่าไม่น่าเป็นห่วงแล้วสำหรับผู้ที่ประสบปัญหาฟันห่าง เนื่องจากว่าในยุคสมัยนี้นวัตกรรมทางทันตกรรมมีวิธีรักษาเพื่อช่วยปิดช่องฟันและลดช่องว่างระหว่างฟันได้อย่างมีประสิทธิภาพมากๆ แถมใช้เวลาไม่มากเหมือนสมัยก่อนอีกแล้ว

ในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมารู้ถึงรายละเอียดของการมีช่องว่างระหว่างฟัน วิธีรักษา และที่สำคัญเลยที่หลายท่านสงสัยว่า ฟันห่างมีทางป้องกันหรือไม่ เรามาไขข้อสงสัยกันดังต่อไปนี้


ปัญหาที่เกิดจากฟันห่าง ?

ปัญหาหลักๆเลยที่เกิดจากฟันห่าง หรือมีช่องว่างระหว่างฟันก็คือ เสียบุคลิกภาพ ไม่กล้าที่จะสนทนาพูดคุย หากว่าเป็นตั้งแต่ที่อายุยังน้อยก็อาจจะทำให้เกิดปัญหาฟันซี่ถัดไปไม่สามารถงอกขึ้นมาได้ ส่งผลให้มีปัญหาเรื่องการบดเคี้ยวอีกด้วย


ฟันห่างเกิดจากอะไร ?

ต้องขอบอกเลยว่าฟันห่างนั้นเกิดขึ้นได้จากหลายๆสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของพฤติกรรมผิดๆ รวมถึงความผิดปกติของช่องปากและฟัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

– ความผิดปกติของเนื้อเยื่อใต้ลิ้นที่ยึดเกาะกับพื้นด้านล่างของช่องปาก ซึ่งเนื้อเยื่อยึดเกาะเหล่านี้มีบทบาทในการพัฒนาโครงสร้างช่องปากของเด็กตั้งแต่ยังเป็นตัวอ่อนในครรภ์มารดา ซึ่งหากมีความผิดปกติมากๆก็ส่งผลให้เกิดการดึงรั้งและทำให้เกิดฟันหน้าห่างได้นั่นเอง

– ขนาดฟันเล็กกว่าขากรรไกร หรือมีขากรรไกรที่ใหญ่เกินไปก็จะทำให้การเรียงตัวของฟันห่างจากกันเพื่อเติมเต็มพื้นที่ขากรรไกร ซึ่งโครงสร้างของขากรรไกรและขนาดฟันส่วนใหญ่จะถูกควบคุมโดยพันธุกรรม ซึ่งหากว่าพ่อแม่มีฟันห่างลูกก็อาจจะประสบปัญหาฟันห่างด้วยเช่นกัน

– เนื้อเยื่อขอบเหงือกเจริญเติบโตมากเกินไป ซึ่งหากว่ามีเหงือกในส่วนของฟันหน้ามากเกินไป ก็จะทำให้เกิดการขวางแนวฟันทำให้เกิดการแยกออกจากกันของฟัน

– ภาวะลิ้นดันฟัน มักจะเกิดขึ้นในเด็กโตหรือผู้ใหญ่ที่มีการกลืนกินผิดปกติ ลิ้นโดยธรรมชาติจะแตะที่เพดานปากด้านบนในขณะกลืนอาหาร แต่สำหรับผู้ที่ผิดปกติลิ้นจะไปดันที่ฟันหน้าทำให้เกิดแรงดันอย่างมากส่งผลให้เกิดฟันห่าง

– โรคเหงือก หากว่าเกิดการอักเสบของเหงือกและไม่ได้รับการรักษาจะส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเหงือกและฟัน ทำให้เกิดฟันโยกและเกิดช่องว่างได้

– การถอนฟันจะส่งผลให้ฟันไม่ครบ ฟันที่เหลือเกินการเคลื่อนตัวส่งผลให้เกิดปัญหาฟันห่างตามมานั่นเอง

– การดูดนิ้ว ก็สามารถทำให้เกิดแรงดันจำนวนมากส่งผลให้ฟันหน้าห่างตามมาได้นั่นเอง


ฟันห่างป้องกันได้หรือไม่ ?

ต้องขอบอกว่าปัจจัยหลายๆอย่างที่ทำให้เกิดฟันห่างนี้เกินควบคุมได้ เช่น ปัจจัยทางด้านพันธุกรรม และความผิดปกติในช่องปากตั้งแต่กำเนิด เป็นต้น แต่จะบอกว่าไม่สามารถป้องกันได้เลยก็อาจจะไม่ใช่ เพราะเราสามารถปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างที่ส่งผลให้เกิดฟันห่างได้ เช่น พยายามไม่ดูดนิ้ว หรือผู้ปกครองควรมีส่วนในการช่วยดูแลไม่ให้บุตรหลานทำพฤติกรรมดูดนิ้ว หรือสำหรับผู้ที่มีพฤติกรรมการกลืนที่ผิดปกติให้พยายามปรับเปลี่ยนบังคับลิ้นให้แตะที่เพดานปากด้านบนในเวลารับประทานอาหารซึ่งยากแต่สามารถทำได้ อีกอย่างที่สำคัญก็คือพยายามดูแลสุขภาพช่องปากให้แข็งแรงเพื่อไม่ให้เป็นโรคเหงือกหรือโรคเกี่ยวกับฟันต่างๆ ที่ส่งผลให้เกิดฟันห่าง และการขูดหินปูนเป็นประจำก็ถือว่าเป็นหนึ่งในการป้องกันฟันห่างจากแรงดันของคราบหินปูนนั่นเอง

สรุปแล้วก็คือ “ฟันห่าง” ที่ไม่ได้เกิดขึ้นจากความผิดปกติตั้งแต่พันธุกรรมนั้นสามารถที่จะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้

อีกอย่างที่อยากจะบอกก็คือ ฟันห่าง สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกท่านแม้ว่าตอนเด็กๆจะฟันเรียงตัวสวยเป็นปกติ พฤติกรรมต่างๆในตอนโตก็สามารถเปลี่ยนทำให้ฟันที่เรียงตัวสวยงามกลายเป็นฟันห่างได้ด้วยเช่นกัน

9
หลังคาโรงงานที่ดี ทำไมต้องมีฉนวนกันความร้อนติดตั้งเสริม

โรงงานอุตสาหกกรรม ไม่ว่าจะเป็นโรงงานประเภทใดก็ล้วนแล้วแต่ต้องการ ฉนวนกันความร้อน เข้าช่วย เพื่อลดและควบคุมอุณหภูมิภายในโรงงานไม่ให้สูงเกินไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับห้องเครื่องจักรต่าง ๆ

แต่ทั้งนี้ ผู้ประกอบการหลาย ๆ คนอาจมองข้ามจุดสำคัญหนึ่งไปที่ควรติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน ไม่แพ้ส่วนอื่น ๆ ในโรงงานเช่นกัน นั่นก็คือ “หลังคาโรงงาน” โดยสาเหตุที่ทำให้หลังคาโรงงานควรมีการติดตั้ง ฉนวนกันความร้อน เสริมนั้น ก็เพราะ

1.หลังคาคือส่วนบนสุดที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์ตลอดทั้งวัน

ต้นกำเนิดความร้อนที่ทำให้โรงงานร้อนขึ้นนั้น ไม่ได้เกิดจากเพียงแค่เครื่องจักรและการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในโรงงานอย่างเดียว แต่ความร้อนหลัก ๆ ที่สะสมเข้ามาในโรงงานเกิดจากดวงอาทิตย์ภายนอก ยิ่งประเทศไทยเป็นเมืองร้อน ยิ่งทำให้โรงงานร้อนได้มากขึ้น

และเพราะหลังคาโรงงานอยู่ใกล้ตัวอาทิตย์ตลอดทั้งวัน จึงมีการสะสมความร้อนที่บริเวณหลังคามากและส่งต่อผ่านเข้ามายังภายในโรงงาน การติดตั้งฉนวนกันความร้อนที่ใต้หลังคา หรือ โถงหลังคา จะเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อลดระดับปริมาณความร้อนไม่ให้เข้ามาสะสมในโรงงานมากขึ้น


2.หลังคาโรงงานส่วนใหญ่เป็นเมทัลชีท

เพราะเมทัลชีทมีความแข็งแรง ทนทาน มีน้ำหนังกเบา ติดตั้งง่าย และราคาประหยัด จึงทำให้ได้รับความนิยมในการใช้มุงหลังคาโรงงาน ซึ่งมีขนาดใหญ่เสมอ แต่ด้วยคุณสมบัติของเมทัลชีทที่เป็นเหล็ก จึงทำให้ดูดซับความร้อนได้ง่าย

อีกทั้งเมื่อถูกฝนกระทบ ก็ทำให้เกิดเสียงดังรบกวนการสื่อสารภายในโรงงานอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เอง การติดตั้งฉนวนกันความร้อนบริเวณหลังคาจึงตอบโจทย์ เพราะไม่เพียงแต่ช่วยกันความร้อนจากดวงอาทิตย์ที่หลังคาดูดซับไว้ไม่ให้ทะลุผ่านเข้ามายังโรงงานได้ง่ายแล้ว ยังช่วยดูดซับเสียงดังเวลาฝนตกกระทบหลังคา ทำให้โรงงานมีเสียงรบกวนน้อยลง เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานกันได้อย่างราบรื่นมากขึ้น


3.ช่วยลดความรุนแรงหากเกิดอัคคีภัย

ฉนวนกันความร้อนสำหรับงานหลังคาที่ดี ควรมีคุณสมบัติไม่ลามไฟ หรือ Non-Flammable เพื่อหากเกิดเหตุไม่คาดฝันอย่างไฟฟ้าลัดวงจร หรืออัคคีภัยขึ้น จะได้ช่วยลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้เบาลงได้

โดยเวลาเกิดเหตุอัคคีภัยนั้น หากหลังคาลุกติดไฟ ลามไฟอย่างรวดเร็ว จะก่อให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรง หลังคาร่วงหล่นลงกีดขวางทางหนี ทำให้ผู้คนได้รับอันตรายมากขึ้น ด้วยเหตุนี้เอง การติดตั้งฉนวนกันความร้อนคุณภาพจึงเป็นเรื่องจำเป็นในการสร้างมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยภายในโรงงานทางหนึ่ง
ฉนวนกันความร้อน

ฉนวนกันความร้อน สำหรับงานหลังคา ถือเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่ดี เพราะได้รับการผลิตขึ้นมาสำหรับงานหลังคาโดยเฉพาะ มีคุณสมบัติในการกันความร้อนได้ดี เพราะมีค่าการนำความร้อนต่ำ ช่วยลดปริมาณความร้อนที่จะเข้ามาในโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน ก็ช่วยลดเสียงดังรบกวนจากภายนอกอย่างเช่นเสียงฝนตกได้ด้วย ทั้งยังเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน ผ่านการทดสอบคุณสมบัติไม่ลาดไฟตามมาตรฐาน ASTM E84 และ BS476 จึงไม่เป็นชนวนก่อให้เกิดอัคคีภัย และช่วยลดความรุนแรงของการเกิดเพลิงไหม้ได้

10
บริการด้านอาหาร: ข้าวผัดสับปะรด คุณค่าทางสารอาหารเต็มๆ
 
การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และมีคุณภาพ สามารถช่วยป้องกันโรคได้ หรือที่เราเรียกว่า “อาหารบำบัด” แต่ในขณะเดียวกันหากรับประทานอาหารที่ไม่มีคุณภาพ จะก่อให้เกิดโรคตามมาได้ จะเห็นได้ว่า คนไทยจำนวนมากป่วยเป็นโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคความดัน โรคไต โรคหัวใจ ซึ่งโรคดังกล่าว ล้วนมาจากพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ผิด และรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์ต่อร่างกาย

ดังนั้น หากเรารับประทานอาหารให้ถูกต้องและมีประโยชน์ ก็จะช่วยป้องกันโรคได้และยังรักษาโรคได้อีกด้วย นี่จึงเป็นที่มาที่ทำให้หลายคนหันมาใส่ใจในเรื่องของอาหารการกินมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะคนที่รักสุขภาพที่ใส่ใจในเรื่องของอาหารที่จะรับประทานเข้าไปในแต่ละวัน บางคนมีการนับจำนวนแคลอรี่ บางคนใช้วิธีการปรุงอาหารด้วยตนเอง เพื่อให้ได้สารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายจริงๆ
บางคนเลือกรับประทานอาหารเพื่อสุขภาพ อาหารคลีนต่างๆ เพื่อแลกกับการมีสุขภาพร่างกายที่ดี ซึ่งวันนี้เราจะมาแนะนำเมนูอาหารที่ทำมาจากผลไม้อย่างสับปะรด ซึ่งถือว่าเป็นผลไม้ที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน โดยเมนูดังกล่าวนั่นก็คือ ข้าวผัดสับปะรด เป็นเมนูเพื่อสุขภาพที่มีคุณค่าทางสารอาหาร แถมยังเป็นเมนูอาหารที่ช่วยบำรุงร่างกายได้ด้วย
 
สำหรับวัตถุดิบในเมนูนี้ก็คือ ไข่เป็ด น้ำมันพืช เนื้อไก่หั่นเป็นชิ้นบาง กุ้งสด กระเทียมสับ ข้าวหอมมะลิหุงสุก หอมใหญ่หั่นเต๋า ถั่วลันเตาและแครอทหั่นเป็นชิ้นเล็ก เนื้อสับปะรดหั่นเป็นชิ้นพอดีคำ ซอสปรุงอาหาร ผงกะหรี่ ลูกเกด เม็ดมะม่วงหิมพานต์อบสุก ต้นหอมและผักชีซอย และแตงกวา โดยขั้นตอนก็เริ่มจากการทำซอสปรุงอาหาร โดยการใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในหม้อ คนผสมจนน้ำตาลทรายละลาย
นำขึ้นตั้งไฟกลาง เคี่ยวจนเดือดแล้วลดไฟลง ใช้ไฟอ่อนเคี่ยวต่ออีกประมาณ 5 นาที ปิดไฟ ยกลงจากเตา พักไว้จนเย็น ต่อมาก็มาถึงวิธีการทำข้าวผัด โดยใส่น้ำมันพืชลงในกระทะนำขึ้นตั้งไฟ พอร้อนใส่ไข่เป็ดลงไปตีพอแตก ใส่เนื้อไก่ลงไปผัดจนสุก ตามด้วยกุ้ง พอกุ้งเริ่มเปลี่ยนสีให้ใส่กระเทียมลงไปผัดจนเข้ากันอีกครั้ง ใส่ข้าว หอมใหญ่ ผงกระหรี่ ถั่ว แครอท และสับปะรด ใช้ไฟแรงผัดให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันและข้าวไม่เป็นก้อน

ปรุงรสด้วยซอสปรุงอาหารที่เราทำเตรียมไว้ ผัดให้เข้ากัน ใส่ลูกเกดและเม็ดมะม่วงหิมพานต์ลงไปผัดให้เข้ากันอีกครั้ง โรยด้วยต้นหอมซอย ผักชีซอยและแตงกวา เพียงเท่านี้เราก็จะได้เมนูเพื่อสุขภาพที่รสชาติอร่อย และยังได้ประโยชน์เต็มๆคำจากสับปะรด เนื่องจากเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างมาก เพราะอุดมไปด้วยแร่ธาตุและวิตามินต่าง ๆ

จำนวนมาก ซึ่งได้แก่ คาร์โบไฮเดรต วิตามินซี วิตามินบี 1 วิตามินบี 2 วิตามินบี 3 วิตามินบี 5 วิตามินบี 6 กรดโฟลิก ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม ธาตุแมงกานีส ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และธาตุสังกะสีเป็นต้น ช่วยป้องกันการติดเชื้อต่างๆในระบบทางเดินอาหาร ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันในร่างกาย


ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยลดคอแห้ง แก้กระหายน้ำ ช่วยควบคุมความดันโลหิตสูง ลดเนื้อเยื่อแผลอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ นอกจากนี้ สับปะรด ยังมีเอนไซม์ที่ช่วยจัดการกับโปรตีนที่เรียกว่า บรอมีเลน ซึ่งพบได้ในแกนและเหง้าของสับปะรดนั่นเอง คุณสมบัติพิเศษของสารชนิดนี้ก็คือ ช่วยสลายลิ่มเลือดและสมานแผล ช่วยลดการจับตัวของเกล็ดเลือด และที่สำคัญที่สุดช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย เหมาะสำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักเป็นอย่างดีเลยทีเดียว นอกจากจะช่วยบำรุงร่างกาย และป้องกันการเกิดโรคต่างๆแล้ว ยังเป้นเมนูอาหารที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางสารอาหาร และยังช่วยลดน้ำหนักให้กับสาวๆได้อีกด้วย ถือว่าเป็นเมนูที่มีสารพัดประโยชน์เลยทีเดียว
 
อย่างไรก็ตาม หลักการรับประทานอาหารที่ดี ก็คือ การเลือกรับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ซึ่งทางเราเน้นย้ำมาตลอดในเรื่องของวิธีการรับประทานอาหารให้ได้ประดยชน์มากที่สุด เพราะนอกจากร่างกายจะได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายแล้ว ยังสามารถช่วยบำบัดโรค บำรุงร่างกายได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญคือเราต้องหมั่นออกกำลังกาย เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพแข็งแรง และดื่มน้ำให้มากๆ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายได้สดชื่น สามารถรับมือกับชีวิตในแต่ละวันได้อย่างเต็มที่

11
หมอออนไลน์: โรคเชื้อราในช่องหู (Otomycosis)

โรคเชื้อราในช่องหู (หูอักเสบจากเชื้อรา) เป็นโรคหูชั้นนอกอักเสบชนิดหนึ่ง

สาเหตุ

เกิดจากเชื้อรา ได้แก่ แอสเปอร์จิลลัสไนเจอร์ (Aspergillus niger) และแคนดิดาอัลบิแคนส์ (Candida albicans) มักพบหลังเล่นน้ำ หรือใช้ไม้แคะหูร่วมกับผู้ที่เป็นโรคนี้ (เช่น แคะหูตามร้านตัดผม) และอาจพบในผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยง เช่น ผู้ป่วยที่เป็นโรคติดเชื้อในหูเรื้อรังและใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน ผู้ป่วยที่เป็นโรคเชื้อราตามผิวหนังหรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ เป็นต้น

อาการ

มีอาการคันในรูหูมาก อาจมีอาการปวดหูหรือหูอื้อ หรือมีของเหลวไหลออกจากหู


ภาวะแทรกซ้อน

อาจทำให้เกิดโรคหูชั้นกลางอักเสบ เยื่อแก้วหูทะลุ

             ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน เอดส์) การติดเชื้ออาจลุกลามเข้ากระดูกอ่อนในบริเวณหูหรือฐานกะโหลกได้

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการเมื่อใช้เครื่องส่องหู มักเห็นลักษณะขุย ๆ สีขาว สีดำหรือน้ำตาล ติดอยู่บนผิวหนังในรูหู หูชั้นนอกมีการอักเสบบวมแดง
บางกรณี แพทย์จะนำของเหลวในหูไปตรวจหาเชื้อต้นเหตุ

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะใช้อุปกรณ์ทำความสะอาดในช่องหู ใช้ไม้พันสำลีชุบน้ำยาโพวิโดนไอโอดีน เช็ดในช่องหูวันละ 3-4 ครั้ง หรือใช้ยาหยอดหูที่เข้ายารักษาโรคเชื้อรา เช่น โคลไตรมาโซล (clotrimazole) หยอดหูครั้งละ 4-5 หยด วันละ 3-4 ครั้ง ถ้ามีการใช้ยาหยอดหูที่เข้ายาปฏิชีวนะหรือยาสเตียรอยด์ ให้หยุดใช้

             ในรายที่รักษาด้วยวิธีดังกล่าวไม่ได้ผล หรือมีการอักเสบรุนแรง แพทย์จะให้กินยาฆ่าเชื้อรา เช่น ไอทราโคนาโซล (itraconazole)

ถ้าไม่ดีขึ้นใน 1 สัปดาห์ หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย แพทย์จะทำการตรวจหาสาเหตุ รวมทั้งตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เพราะผู้ป่วยอาจเป็นเบาหวานโดยไม่รู้ตัวอยู่ก่อนก็ได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการคันหู ปวดหู มีน้ำเหลืองหรือหนองไหลออกจากหู ควรปรึกษาแพทย์

          เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคเชื้อราในช่องหู ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    งดการลงเล่นน้ำ ดำน้ำ หรือว่ายน้ำในสระหรือแม่น้ำลำคลอง
    งดการเดินทางโดยเครื่องบิน
    หลีกเลี่ยงการใช้อุปกรณ์ใด ๆ สวมใส่หู
    เวลาอาบน้ำ ใช้สำลีหรือวัสดุอุดรูหูป้องกันไม่ให้น้ำเข้าหู

       
ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษา 2-3 วันแล้วอาการไม่ทุเลา
    มีไข้สูง หรือปวดหูมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการแคะหู ด้วยนิ้วมือ ไม้แคะหู ไม้พันสำลี หรือสิ่งอื่น ๆ
    หลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในแหล่งน้ำที่ไม่สะอาด
    เวลาใช้สเปรย์ผมหรือยาย้อมผม ควรใช้สำลีอุดหู เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือการแพ้
    หลังอาบน้ำ สระผม หรือว่ายน้ำ ควรใช้ผ้าเช็ดบริเวณรอบ ๆ ใบหูให้แห้ง และตะแคงหูลงทีละข้างลงด้านล่าง แล้วเคาะที่ศีรษะเบา ๆ เพื่อให้น้ำระบายออกจากหู ป้องกันไม่ให้มีน้ำค้างอยู่ในช่องหู (ไม่ให้ใช้ไม้พันสำลีแยงหูเพื่อซับน้ำ อาจทำให้เกิดแผลถลอกได้)
    ผู้ที่มีหูอักเสบหรือหลังได้รับการผ่าตัดหู ก่อนจะลงเล่นน้ำหรือว่ายน้ำในสระ ควรปรึกษาแพทย์ที่ให้การรักษาว่าสมควรหรือไม่


ข้อแนะนำ

โรคนี้มักไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง ส่วนมากสามารถรักษาให้หายได้ภายใน 5-7 วัน แต่ถ้ามีอาการกำเริบใหม่ เป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง หรือพบว่าหูชั้นนอกมีการอักเสบรุนแรง (ปวดหูมาก หนองไหล มีกลิ่นเหม็น หูตึง อาจมีอาการปากเบี้ยว) แพทย์จำเป็นต้องตรวจหาสาเหตุ เช่น ตรวจเลือดว่าเป็นเบาหวาน หรือโรคเอดส์หรือไม่

12
มอเตอร์โชว์ 2025 Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงรุ่นเรือธงแห่งตระกูล RS สืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน ด้วยราคา 13.59 ล้านบาท

อาวดี้ ประเทศไทย เริ่มต้นปี 2568 อย่างร้อนแรง ด้วยการเปิดตัวยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงที่ผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความหรูหราเหนือระดับ นับเป็นรุ่นเรือธงแห่งตระกูล RS ที่ได้รับการยกย่องให้เป็น The Most Powerful SUV มาพร้อมพละกำลังและความเร็วที่สืบทอด DNA จากสนามแข่งสู่ท้องถนน หนึ่งในความภาคภูมิใจของอาวดี้ที่ได้รับการพิสูจน์สมรรถนะด้วยการเป็นเอสยูวีที่เร็วที่สุดในสนาม Nürburgring สนามแข่งระดับตำนานด้วยเวลาเพียง 7.36.698 นาที สะท้อนถึงความเชี่ยวชาญและจิตวิญญาณแห่งความสปอร์ตที่แท้จริงของ Audi Sport GmbH

รถสมรรถนะสูงตระกูล RS ไม่เพียงแต่เป็นสัญลักษณ์ของความแรงและความเร็ว แต่ยังยกระดับมาตรฐานในกลุ่ม High-Performance ให้ก้าวล้ำยิ่งขึ้น ตอบโจทย์ทั้งด้านสมรรถนะและความหรูหราได้อย่างลงตัว ครบครัน พร้อมราคาที่เร้าใจสำหรับแฟนรถตระกูล High Performance อย่างแท้จริง Audi RS Q8 quattro performance อัพเกรดทุกมิติเพิ่มสมรรถนะที่เร็วและแรงขึ้น ดีไซน์ลุคสปอร์ตจัดเต็ม เช่น RS Ceramic เบรกที่มาพร้อมกับคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงิน, ไฟหน้า HD Matrix LED, ไฟท้าย OLED, การตกแต่งภายในด้วย Stitching สีน้ำเงิน รวมไปถึงระบบความปลอดภัย ระบบช่วยเหลือการขับขี่ที่ครบครัน และยังสามารถปรับแต่งความ Exclusive เสริมความเป็นเอกลักษณ์มากยิ่งขึ้นไม่ว่าจะเป็นสีพิเศษที่มีให้เลือกถึง 12 สี, ชุดแต่งคาร์บอนรอบคัน และชุดลำโพง

ขุมพลังระดับ Performance (The Most Powerful SUV)
Audi RS Q8 quattro performance โดดเด่นด้วย ขุมพลังระดับ Performance ด้วยเครื่องยนต์เบนซิน V8 TFSI 4.0 ลิตร พร้อมระบบ Mild Hybrid Technology (MHEV) พร้อมระบบจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงแบบฉีดตรง และเทอร์โบชาร์จ ให้พละกำลัง 640 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร Audi RS Q8 Performance สามารถทำอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 3.6 วินาที ระบบท่อไอเสียแบบ RS Sport เสียงกระหึ่มดุดัน ทำให้ทุกการขับขี่เต็มไปด้วยความเร้าใจ ขณะที่ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ quattro (self-locking centre differential) ที่ประมวลผลในการกระจายแรงขับเคลื่อนได้อย่างดีเยี่ยม เพื่อสร้างแรงยึดเกาะถนนในสถานการณ์ต่างๆ สร้างความมั่นใจทุกเส้นทางในการขับขี่

การออกแบบที่ดึงดูด สะกดทุกสายตา
Audi RS Q8 quattro performance ได้รับการออกแบบให้มีความสปอร์ตดุดันและความหรูหรา ตัวรถมาพร้อมล้ออัลลอยขนาดใหญ่ถึง 23 นิ้ว ดีไซน์และสีพิเศษ Matt grey จัดเต็มกับจานเบรกเซรามิคแบบ RS พร้อมด้วยคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงินใหม่ เป็นมาตรฐานให้กับรถยนต์รุ่น RS Q8 ชุดแต่ง RS รอบคัน

เบาะทรงสปอร์ตหุ้มด้วยหนังพรีเมียม Valcona มาพร้อมครบกับทุกฟังก์ชันที่เสริมความสะดวกสบายในการขับขี่ ไม่ว่าจะเป็น ระบบเบาะอุ่นร้อน ระบบเบาะระบายอากาศ และฟังก์ชันนวดผ่อนคลายที่สามารถเลือกรูปแบบการนวดได้มากถึง 8 โปรแกรม และเป็นครั้งแรกในประเทศไทยกับการตกแต่งภายในด้วย Stitching สีน้ำเงิน เพิ่มความสปอร์ตและหรูหราในทุกมุมมอง

Audi RS Q8 quattro performance ได้รับการพัฒนาขึ้นเพื่อมอบสมรรถนะที่เหนือชั้น พร้อมระบบเบรกที่ล้ำสมัย RS Ceramics Brake ระบบเบรกที่ออกแบบมาเป็นพิเศษสำหรับรถยนต์สมรรถนะสูง มีจุดเด่นในด้านความทนทานต่อความร้อนได้อย่างดีเยี่ยม มั่นใจได้ในทุกการเบรก พร้อมด้วยวัสดุที่ทำจากเซรามิคคุณภาพดีเยี่ยม เสริมอายุการใช้งานที่ยาวนาน และน้ำหนักเบา ช่วยลดน้ำหนักรวมของตัวรถ เพิ่มความคล่องตัวและการควบคุมได้ดียิ่งขึ้น มาพร้อมคาลิปเปอร์เบรกสีน้ำเงินที่โดดเด่น

การออกแบบยังสะท้อนถึงความพิถีพิถันและนวัตกรรมล้ำสมัย ด้วยเทคโนโลยีระบบไฟที่ดีที่สุดจาก AUDI AG ทำให้ระบบไฟหน้า HD Matrix LED ผสานกับไฟ Audi Laser light ที่มอบความสว่างและประสิทธิภาพสูงสุดโดยไม่รบกวนสายตาผู้ใช้ถนนในเวลากลางคืน

ในขณะที่ไฟท้าย Digital OLED ที่เสริมความสปอร์ตและโดดเด่น สามารถแจ้งเตือนรถคันหลัง หรือบุคคลเมื่อเข้ามาในระยะ 2 เมตร พร้อมยังสามารถปรับเปลี่ยนดีไซน์ร่วมกับไฟหน้าได้ถึง 5 รูปแบบ สะท้อนเอกลักษณ์เฉพาะตัวของรถในตระกูล RS ได้อย่างสมบูรณ์แบบ

เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย
Audi RS Q8 quattro performance มาพร้อมระบบ Infotainment หน้าจอสัมผัส MMI Navigation Plus และชุดเครื่องเสียง Bang & Olufsen ระดับพรีเมียม และเพื่อสัมผัสระบบเสียงที่เหนือกว่า สามารถปรับแต่งลำโพงให้พรีเมียมยิ่งขึ้นด้วยแพ็คเกจ Bang & Olufsen Advanced sound system with 3D sound ลำโพงคุณภาพสูง 23 ตำแหน่ง ที่มีดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ สามารถยกขึ้นมาได้อัตโนมัติ ให้ประสบการณ์เสียงที่มีมิติ ประสิทธิภาพเสียงที่มีรายละเอียดสูง คุณภาพเสียงคมชัดในรูปแบบ 3 มิติ ให้ความรู้สึกดั่งคอนเสิร์ตส่วนตัว ผ่านกำลังขับ 1,920 วัตต์

สำหรับเทคโนโลยีและระบบความปลอดภัยใน Audi RS Q8 Performance เรียกว่าจัดเต็มพิกัด ทั้งระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ครบครัน ไม่ว่าจะเป็นระบบควบคุมความเร็วแปรผันและรักษาระยะห่างด้านหน้า (Adaptive cruise control with Stop&Go function), ระบบป้องกันก่อนเกิดเหตุแบบด้านหน้าและด้านหลัง (Proactive occupant protection, front and rear), ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อจะเปิดประตูลงจากรถ (Exit warning), ระบบแจ้งเตือนสภาพแวดล้อมด้านข้างและด้านท้ายรถเมื่อเข้าเกียร์ถอยหลัง (Rear cross-traffic assist), ระบบแจ้งเตือนจุดอับสายตาเมื่อเปลี่ยนเลน (Lane change assist warning)

ยนตรกรรมรุ่นใหม่ล่าสุด Audi RS Q8 quattro performance ซึ่งนับเป็นยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรงที่ผสานสมรรถนะระดับซูเปอร์คาร์เข้ากับความหรูหราเหนือระดับ มีให้เลือกหลากหลายตามความต้องการของลูกค้า นอกเหนือจากสีมาตรฐาน 4 สี ได้แก่ Mythos black Metallic, Daytona grey Pearl effect, Waitomo blue Metallic และ Ascari blue Metallic โดยเปิดให้จองแล้วตั้งแต่วันนี้ ในราคาสุดคุ้มค่าเริ่มต้น 13.59 ล้านบาท

สำหรับลูกค้าที่ต้องการ ความโดดเด่นเฉพาะตัว อาวดี้ยังได้จัดแพ็คเกจ Exclusive ในราคาพิเศษ 600,000 บาท โดยมีให้เลือกถึง 12 สี คือ Sepang blue Metallic, Nogaro blue Pearl effect, Night blue Pearl effect, Misano red Metallic, Siam beige Metallic, Merlin Pearl effect, Avocado green Pearl effect, Goodwood green Pearl effect, Camouflage green Metallic, Suzuka grey Metallic, Arrow grey Metallic, และ Nimbus grey Pearl effect

นอกจากนี้อาวดี้ยังจัดแพ็คเกจชุดแต่ง Carbon ในราคาพิเศษ 650,000 บาท สำหรับลูกค้าที่อยากได้ความสปอร์ตและความดุดันเพิ่มขึ้น ครอบคลุมชุดแต่งภายนอกรอบคันในลุค Matt Carbon ไม่ว่าจะเป็นช่องรับลมด้านหน้าขนาดใหญ่, สปอยเลอร์หน้า, กระจังหน้าแบบ Single-frame, กระจกมองข้างภายนอก และแผงด้านหลัง

ประสบการณ์เสียงที่สมบูรณ์แบบระดับพรีเมียม ลูกค้ายังสามารถเลือกแพ็คเกจลำโพง Bang & Olufsen ระบบเสียง 3 มิติ ที่อาวดี้จัดให้ในราคาพิเศษ 800,000 บาท ประกอบด้วยลำโพงคุณภาพสูง 23 ตำแหน่ง ฝาครอบลำโพงทำจากอลูมิเนียมและแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียม ลำโพงกลางรวมถึงเลนส์อะคูสติกซ้ายขวาที่ตั้งบนคอนโซลด้านหน้า สามารถยกขึ้นอัตโนมัติ ทำงานควบคู่กับลำโพงบรอดแบรนด์ที่ติดตั้งเพิ่มบริเวณเสา A และหลังคารถยนต์ด้านหลัง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพเสียงที่มีรายละเอียดสูง คุณภาพเสียงคมชัดในรูปแบบ 3 มิติ กำลังขับรวม 1,920 วัตต์ พร้อมระบบตัดเสียงรบกวนขณะขับขี่และปรับระดับเสียงตามความเร็วอัตโนมัติ

ร่วมสัมผัสสมรรถนะเหนือระดับ Audi RS Q8 quattro performance ยนตรกรรมเอสยูวีพลังแรง ที่ไม่เพียงเป็นคำตอบสำหรับ ผู้ที่ต้องการรถยนต์ที่รวมความเร็ว แรง และความหรูหราไว้ในคันเดียว แต่ยังให้ประสบการณ์ใหม่ที่ไม่มีใครเทียบได้ และพร้อมให้ปลดปล่อยทุกความเป็นไปได้ในการขับขี่ ติดตามความเคลื่อนไหวข่าวสารการเปิดตัวรถได้

Audi เป็นรถยนต์นำเข้าประกอบนอกทั้งคัน คุณภาพมาตรฐานเยอรมันทุกรุ่น ลูกค้าที่ออกรถอาวดี้ทุกรุ่นได้รับการดูแลจาก Audi Protection การรับประกันรถใหม่ 5 ปี หรือระยะทาง 150,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน รถไฟฟ้า   e-tron และรถ Plug-in Hybrid TFSI e Audi ใหม่ทุุกรุ่น รับประกันแบตเตอรี่ 8 ปี หรือ 160,000 กิโลเมตร แล้วแต่ระยะใดถึงก่อน พร้อมบริการช่วยเหลือฉุกเฉิน Roadside Assistance ทั่วประเทศ 24 ชั่วโมง นาน 5 ปี
ฟรี บริการช่วยเหลือรถเสียฉุกเฉิน ไม่จำกัดจำนวนครั้ง
ฟรี บริการยก/ลากรถไปยังศูนย์บริการอย่างเป็นทางการของ Audi Thailand ภายในระยะทาง 50 กิโลเมตร หรือไปยังสถานที่อื่นที่สมาชิกต้องการภายในระยะทาง 35 กิโลเมตร (ส่วนต่างคิดค่าบริการกิโลเมตรละ 25 บาท สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบค่าบริการส่วนต่าง)
ฟรี บริการให้คำปรึกษาทางด้านเทคนิคตลอด 24 ชั่วโมง ในกรณีที่เกิดรถเสียฉุกเฉิน
ฟรี บริการรับกุญแจสำรอง กรณีล็อครถโดยไม่ตั้งใจ เจ้าหน้าที่จะประสานงานเพื่อนำกุญแจสำรองมาให้ ณ จุดเกิดเหตุภายในระยะทาง 20 กิโลเมตร (กรณีที่เกินกว่า 20 กิโลเมตร คิดค่าบริการกิโลเมตรละ 25 บาท กรณีที่ต้องการใช้ช่างกุญแจที่มีความชำนาญเพื่อหาวิธีการเข้าไปในรถนั้น จะต้องได้รับความยินยอมจากสมาชิกก่อน ค่าใช้จ่ายสำหรับช่างกุญแจจะรวมอยู่ในบริการ)
กรณีเกิดเหตุน้ำมันหมดฉุกเฉินไม่สามารถขับเคลื่อนได้ เจ้าหน้าที่จะจัดส่งน้ำมันไม่เกิน 10 ลิตร/ครั้ง/ปี เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนไปยังสถานีน้ำมันที่ใกล้ที่สุดได้ (หากเกิดเหตุมากกว่า 1 ครั้ง/ปี ครั้งต่อไปฟรีค่าประสานงาน สมาชิกเป็นผู้รับผิดชอบค่าน้ำมัน)

13
ภาวะแทรกซ้อนของโรคความดันสูง (Hypertension)

โรคความดันสูงเรื้อรังอาจทำให้หลอดเลือดและอวัยวะต่าง ๆ ทั่วร่างกายของผู้ป่วยเกิดความเสียหายจนเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ ดังนี้

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke)
โรคหลอดเลือดสมองเกิดขึ้นเมื่อหลอดเลือดแดงในสมองเกิดการอุดตัน ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดเพื่อนำออกซิเจนและสารอาหารไปสู่สมองได้ ส่งผลให้เนื้อเยื่อสมองตายจากการขาดออกซิเจน การควบคุมอวัยวะต่าง ๆ ที่ถูกสั่งการจากสมองส่วนที่เสียหายเกิดความผิดปกติด้วย และเมื่อความดันในหลอดเลือดมากขึ้น อาจทำให้หลอดเลือดในสมองแตกจนนำไปสู่การเสียชีวิต

หัวใจขาดเลือด (Heart attack)
ความดันโลหิตสูงอาจส่งผลให้ผนังหลอดเลือดหัวใจแข็งและหนาตัวขึ้น ต่อมาอาจผนังหลอดเลือดหัวใจอาจฉีกขาดและอุดตันทำให้เลือดไม่สามารถไหลเวียนไปยังกล้ามเนื้อหัวใจได้ตามปกติ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจตาย และอาจนำไปสู่การเสียชีวิตได้

หัวใจวาย (Heart failure)
เมื่อหัวใจมีการสูบฉีดเลือดเพื่อต้านกับแรงดันในหลอดเลือดจากความดันโลหิตสูงขึ้นเป็นเวลานาน ส่งผลให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักจนมีความหนามากขึ้นและหัวใจโตขึ้น การสูบฉีดเลือดจึงทำได้ยากขึ้น ทำให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงทั่วร่างกายได้เพียงพอ และทำให้หัวใจวาย

โรคไต
ความดันโลหิตสูงอาจทำให้หลอดเลือดในไตตีบแคบหรือเสียหายได้ ไม่สามารถกรองเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไตได้รับความเสียหาย ซึ่งอาจนำไปสู่การเกิดโรคไตและไตวายได้

โรคที่จอตาจากความดันสูง
เมื่อความดันโลหิตสูงจะส่งผลให้หลอดเลือดในดวงตาแตกหรือมีเลือดออกได้ ทำให้ผู้ป่วยมีปัญหาทางด้านสายตาหรือตาบอด

หลอดเลือดแดงโป่งพอง (Aneurysm)
ความดันสูงอาจทำให้ผนังหลอดเลือดแดงเกิดความอ่อนแอ มีการโป่ง พอง นูนขึ้น หรือมีเลือดออกมาก แต่หากเกิดการฉีดขาดอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้

ภาวะเมทาบอลิกซินโดรม (Metabolic syndrome)
กลุ่มอาการผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับระบบการเผาผลาญของร่างกาย ทำให้เกิดการสะสมของไขมันมากผิดปกติ ทำให้ร่างกายเกิดภาวะอ้วนลงพุงได้ง่าย รอบเอวเพิ่มอย่างรวดเร็ว ระดับไขมันไตรกลีเซอร์ไรด์ในเลือดสูง แต่มีไขมันดี (HDL) ในเลือดต่ำ ระดับอินซูลินในร่างกายสูง ซึ่งสภาวะเหล่านี้ล้วนนำไปสู่การเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคหลอดเลือดในสมอง     

ปัญหาด้านความจำและระบบการคิด
ระดับความดันโลหิตสูงมากขึ้นจะส่งผลต่อความสามารถในการคิด ระบบความจำ และความสามารถในการเรียนรู้ หากหลอดเลือดแดงตีบหรืออุดตันอาจส่งผลต่อการไหลเวียนของเลือดไปยังสมอง ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะสมองเสื่อมในระยะยาวได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงอาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ เช่น โรคหลอดเลือดแดงส่วนปลายตีบ (Peripheral artery disease: PAD) โรคเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ (Erectile dysfunction) ในเพศชาย และความต้องการทางเพศลดลงในเพศหญิง

14
มือถือ Huawei หัวเหว่ย Huawei HonorMagic6 Pro (12GB/512GB)
N/A

หัวเหว่ย Huawei HonorMagic6 Pro (12GB/512GB)
รายละเอียดเบื้องต้น
   ยี่ห้อ-รุ่น                   หัวเหว่ย Huawei HonorMagic6 Pro (12GB/512GB)
   ราคากลาง                -
   จำนวนซิม                 2 ซิม (Nano Sim)
   แบบดีไซน์                จอสัมผัส
   สี                               Black, Green(Epi Green)
   ความถี่-เครือข่าย
2G
3G
4G
5G

   ขนาด-น้ำหนัก                         ยาว 162.5 x กว้าง 75.8 x หนา 8.9 มม., น้ำหนัก 229 กรัม
   ความจุข้อมูลภายใน (ROM)      512 GB
   ความจุข้อมูลภายนอกสูงสุด            -
   แบตเตอรี่ และระบบชาร์จ           ความจุแบตเตอรี่ 5,600 mAh

จอแสดงผล
   ชนิดจอ                     จอสัมผัส (OLED)
   ความละเอียด             6.8 นิ้ว, 1,280 x 2,800 px
   รายละเอียดอื่น

กล้องถ่ายรูป
   ขนาด-ความละเอียด                         กล้องหลัง (50 Mpx), กล้องหน้า (50 Mpx)
   ความละเอียดของภาพภ่ายสูงสุด
   คุณสมบัติ                                         -

ระบบปฏิบัติการ
   หน่วยประมวลผล (CPU)                    Snapdragon 8 Gen 3
   หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)          Adreno 750
   หน่วยความจำ (RAM)                         12.0 GB
   ระบบเชื่อมต่อภายนอก                       USB(Type-C), Bluetooth(5.3), NFC, Wi-Fi(802.11 a/b/g/n/ac/ax/be,2x2 MIMO)
   ระบบรับส่งข้อความ                              -
   การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต                      3G, WiFi, 4G, 5G

15
จัดฟันบางนา: อาหารมีความสำคัญต่อสุขภาพช่องปากของเด็กอย่างไร

สุขภาพช่องปากที่ดีนั้น หลายคนอาจจะคิดถึงแค่เพียงฟันที่เรียงตัวสวยงามเมื่อยิ้ม แต่รู้หรือไม่ว่าช่องปากนั้นยังรวมไปถึง เหงือก ลิ้น ระบบประสาท กระพุ้งแก้ม กล้ามเนื้อที่คอยบดเคี้ยวอาหารยังรวมไปถึงข้อต่อและขากรรไกร เพื่อให้มีการรับประทานที่มีประสิทธิภาพ อวัยวะทั้งหลายเหล่านี้ล้วนทำงานสอดคล้องกัน ดังนั้นการมีสุขภาพช่องปากที่ดีนั้นไม่ได้หมายถึงการที่ไม่มีโรคเกี่ยวกับฟันเท่านั้นแต่หมายถึงภาวะที่ปราศจากโรคของฟันเหงือกและอวัยวะอื่น ๆที่เกี่ยวข้องกับระบบการบดเคี้ยว ไม่มีการเจ็บ ไม่ปวด รวมไปถึงความผิดปกติอื่น ๆ เช่นกรณีแผลในช่องปากหรือมีหนอง การมีกินปากหรือแม้กระทั่งเนื้องอกต่าง ๆในช่องปาก ซึ่งการมีสุขภาพช่องปากที่ดีจะส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตดีด้วย นั่นก็คือการรับประทานอาหารได้อย่างปกติและมีความสุข ซึ่งจะทำให้เจริญอาหารและมีสุขภาพที่ดี


เราจะต้องทำอย่างไร เพื่อให้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี หลักๆคือต้องอาศัยความใส่ใจรักษาความสะอาดของช่องปากให้ได้ นั่นคือการแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์อย่างน้อยวันละ 2 ครั้งและใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ รวมถึงในเรื่องของอาหารกันกินด้วย ควรจะใส่ใจเรื่องอาหาร เช่น ไม่ควรรับประทานอาหารที่มีลักษณะเหนียวและแข็งบ่อย เนื่องจากว่าช่องปากจะต้องทำงานหนักซึ่งอาจจะมีผลทำให้ขากรรไกรมีการปวดได้ ยังไม่รวมถึงทำให้ฟันสึกกร่อน และที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือพฤติกรรมการรับประทานอาหารจุกจิก ทำให้ฟันของเราน่าสัมผัสอาหารบ่อยขึ้นอาจจะส่งผลทำให้ปวดหัวมีโอกาสผุมากขึ้น

ในวัยเด็กนั้นต้องการพลังงานมากเป็นพิเศษ จึงมักจะหิวบ่อยและต้องการกินอาหารว่างและขนมในระหว่างมื้ออาหาร ซึ่งของว่างเหล่านั้นเป็นตัวการสำคัญที่เป็นเหตุทำให้เกิดฟันผุ ของว่างขนมเหล่านี้ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายแต่กลับมีผล เสียต่อฟัน ทำให้เกิดโรคฟันผุ นอกจากนี้การที่ร่างกายได้รับน้ำตาลมากเกินไปในช่วงก่อนอาหาร จะเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดชั่วคราว เป็นผลทำให้ไม่อยากอาหารและกินอาหารได้น้อยกว่าปกติ ทางเลือกอื่นสำหรับสำหรับเด็ก ซึ่งทราบดีว่าต้องการอาหารประเภทโปรตีนมาก

และอาหารประเภทโปรตีนนี้ไม่มีผล ต่อฟันเสียด้วย คุณเริ่มต้นเสริมสร้างอุปนิสัยในการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์แก่เด็กในวัยนี้เช่น ปลาหมึก หมูปิ้ง ลูกชิ้น น่องไก่ย่าง เพื่อทดแทนอาหารประเภทแป้งและน้ำตาลดังกล่าว นอกจากนี้อาหารประเภทถั่วชนิดต่าง ๆ เช่น ถั่วลิสง ถั่วปากอ้าทอด ข้าวโพดฝักจะไม่ทำให้เกิดฟันผุแล้ว การใช้ฟันทำหน้าที่บทเคี้ยวอาหารตามสมควรในการกินอาหารโปรตีนเหล่านี้ยังเป็นการบริหารเหงือกและฟัน เป็นการกระตุ้นการงอกของฟันถาวร ในรายที่กำลังจะมีการผลัดฟันน้ำนม อาหารเหล่านี้ยังกระตุ้นการเจริญเติบโตของขากรรไกรและใบหน้าให้ได้สัดส่วน ซึ่งอาจจะมีผลในการลดสภาวะฟันเกซ้อนได้ในบางกรณี นอกเหนือไปจากการป้องกันโรคฟันผุด้วย

จะเห็นได้ว่าอาหารเนื่องจากมีผลต่อร่างกายทั้งระบบแล้วยังมีผลต่อสุขภาพในช่องปาก โดยเฉพาะต่อฟันในเด็ก ยังพบว่าอาหารฟันและสุขภาพทั่วไปนั้นมีความเกี่ยวข้องกันเป็นวัฏจักร หรือวงจรที่เป็นประโยชน์ให้คุณต่อร่างกายได้แก่ ฟันดี ไม่ผุ เคี้ยวอาหารได้ดี ร่างกายจะได้รับสารอาหารครบถ้วน ถูกต้อง เหมาะสมร่างกายจึงแข็งแรงเติบโต แต่ถ้าหากเป็นวัฏจักรที่เป็นโทษ กล่าวคือฟันผุ ปวดฟัน ไม่อยากเคี้ยวอาหารทำให้ได้รับอาหารไม่ครบส่วน ร่างกายไม่แข็งแรงและเจริญเติบโตไม่เต็มที่


การมีสุขภาพช่องปากที่ดีนั้นควรพบทันตแพทย์ทุก ๆ 6 เดือนเพื่อให้ตรวจสุขภาพช่องปากของเรายังอยู่ในสภาวะปกติหรือไม่หากเจอปัญหาจะได้ช่วยแก้ ใครปัญหาแต่เนิ่น ๆ แต่หากปล่อยปัญหาไว้เป็นระยะเวลายาวนานบางครั้งปัญหาในช่องปากเราอาจจะไม่รู้ตัว รู้อีกทีก็สายไปเมื่อมาพบทันตแพทย์อีกครั้งนั้นอาจจะรักษายากขึ้นหรือไม่สามารถรักษาให้ฟันซี่นั้นนั้นกลับมาสู่ภาวะปกติดังเดิมได้ ผู้ปกครองสามารถรับคำปรึกษาที่คลินิก เรามีทันตแพทย์ที่เชี่ยวชาญในเรื่องสุขภาพช่องปากของวัยเด็กได้อย่างครบถ้วน

16
ท่อลมร้อน แต่ละประเภทเหมาะกับงานแบบไหน

ท่อลมร้อนมีหลายประเภท แต่ละประเภทเหมาะกับงานที่แตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับวัสดุที่ใช้ผลิต คุณสมบัติ และความทนทานต่ออุณหภูมิ โดยทั่วไปแล้ว ท่อลมร้อนสามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้:

1. ท่อลมร้อนโลหะ

วัสดุ: ทำจากโลหะ เช่น เหล็ก สแตนเลส หรืออะลูมิเนียม

คุณสมบัติ:
มีความแข็งแรงทนทานสูง
ทนต่ออุณหภูมิสูงได้ดี
ทนต่อแรงดันได้ดี
มีอายุการใช้งานยาวนาน
มีน้ำหนักมาก
ติดตั้งยากกว่าท่อลมร้อนประเภทอื่น

งานที่เหมาะสม:
งานอุตสาหกรรมหนัก เช่น โรงงานผลิตเหล็ก โรงงานปิโตรเคมี หรือโรงไฟฟ้า
งานที่ต้องการความทนทานต่ออุณหภูมิสูงและแรงดันสูง
งานที่ต้องการความทนทานต่อการกัดกร่อน

2. ท่อลมร้อนผ้าใบ

วัสดุ: ทำจากผ้าใบเคลือบสารทนความร้อน เช่น ซิลิโคน หรือ PVC

คุณสมบัติ:
มีความยืดหยุ่นสูง
น้ำหนักเบา
ติดตั้งง่าย
ราคาถูกกว่าท่อลมร้อนโลหะ
ทนต่ออุณหภูมิได้ปานกลาง
ไม่ทนต่อแรงดันสูง

งานที่เหมาะสม:
งานระบายอากาศทั่วไป
งานดูดควัน หรือไอน้ำมัน
งานที่ต้องการความยืดหยุ่นในการติดตั้ง
งานที่ไม่ต้องการความทนทานต่อแรงดันสูง

3. ท่อลมร้อนอะลูมิเนียมฟอยล์

วัสดุ: ทำจากอะลูมิเนียมฟอยล์

คุณสมบัติ:
น้ำหนักเบา
ติดตั้งง่าย
ราคาถูก
ทนต่ออุณหภูมิได้ปานกลาง
ไม่ทนต่อแรงดันสูง
ไม่ทนต่อการฉีกขาด

งานที่เหมาะสม:
งานระบายอากาศในอาคาร
งานดูดควันในครัว
งานที่ไม่ต้องการความทนทานต่อแรงดันสูงและการฉีกขาด

4. ท่อลมร้อน PVC

วัสดุ: ทำจาก PVC

คุณสมบัติ:
มีความยืดหยุ่นสูง
น้ำหนักเบา
ติดตั้งง่าย
ราคาถูก
ทนต่ออุณหภูมิได้ต่ำ
ไม่ทนต่อแรงดันสูง
ไม่ทนต่อสารเคมีบางชนิด

งานที่เหมาะสม:
งานระบายอากาศทั่วไป
งานดูดฝุ่น หรือขี้เลื่อย
งานที่ไม่ต้องการความทนทานต่ออุณหภูมิสูง แรงดันสูง และสารเคมี

สรุป
การเลือกท่อลมร้อนให้เหมาะสมกับงาน ควรพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ เช่น อุณหภูมิ แรงดัน ลักษณะงาน และงบประมาณ เพื่อให้ได้ท่อลมร้อนที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยในการใช้งาน

17
Doctor At Home: เลือดกำเดา (Epistaxis/Nose bleed)

เลือดกำเดา (เลือดออกจากจมูก) เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่บริเวณเยื่อจมูกมีการแตกทำลาย ทำให้มีเลือดออกจากรูจมูก

ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้าแตก มักมีเลือดออกจากจมูกข้างเดียว อาการมักไม่รุนแรง และเลือดหยุดได้ง่าย ภาวะนี้พบบ่อยในเด็ก

ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังจมูกด้านข้างซึ่งอยู่ลึกไปทางด้านหลังของจมูก (มีขนาดที่ใหญ่กว่าหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้า) แตก อาจมีเลือดออกจากจมูก 2 ข้าง และอาจมีเลือดออกมาก ซึ่งจะไหลลงคอและปาก ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ใหญ่

เลือดกำเดาส่วนมากมักเกิดอาการขึ้นฉับพลัน บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในเด็กเล็ก (อายุ 2-10 ปี) และผู้สูงอายุ (อายุ 50-80 ปี) 

นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (เนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแตกได้ง่าย) ผู้ที่สูบบุหรี่ (เนื่องจากบุหรี่ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก จมูกแห้ง) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด (เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด)

ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เอง


สาเหตุ

โดยมากมักไม่มีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ การเจออากาศแห้งหรือหนาวเย็น หรือนอนในห้องปรับอากาศ การอักเสบของเยื่อจมูก (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ เป็นต้น) การอยู่ในที่สูงซึ่งมีความดันบรรยากาศลดลง (เช่น การนั่งเครื่องบิน การอยู่บนภูเขาสูง)

อาจเกิดจากได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกแรงกระแทกที่ดั้งจมูก) มีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด

อาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อ (เช่น หัด มาลาเรีย ไข้เลือดออก เป็นต้น) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคตับเรื้อรัง (มีภาวะเลือดออกง่าย) การใช้ยา (เช่น ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก)

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง บางครั้งก็อาจมีเลือดกำเดาไหล และถ้ามีความดันโลหิตสูงแบบวิกฤต (hypertensive crisis คือ ความดันช่วงบนมากกว่าหรือเท่ากับ 180 หรือช่วงล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 120 มม.ปรอท) ก็มักจะมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเลือดที่มีเลือดออกง่าย ได้แก่ ฮีโมฟิเลีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ ไอทีพี เป็นต้น ซึ่งมักมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว อาจมีเลือดออกที่อื่น ๆ มีไข้ หรือตับโตม้ามโตร่วมด้วย

ในผู้ใหญ่ที่มีเลือดกำเดาบ่อยร่วมกับอาการคัดจมูก หูอื้อหรือมีก้อนบวมที่ข้างคอ อาจเกิดจากมะเร็ง หรือเนื้องอกในจมูกหรือโพรงหลังจมูก


อาการ

มีเลือดสด ๆ ไหลออกทางรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง

ถ้าออกที่ด้านหลังของจมูกอาจมีเลือดไหลลงคอและปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดจากเลือดกำเดาที่ไหลลงคอ หรืออาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะอาหารทำให้อาเจียน หรือมีอาการถ่ายอุจจาระดำ (ซึ่งเป็นเลือดเก่า มาจากเลือดกำเดาที่ไหลลงไปในลำไส้) ในวันต่อ ๆ มา


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าออกมากอาจทำให้เกิดภาวะซีดได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

อาจตรวจพบเลือดกำเดาไหลหรือจุดเลือดออกที่เยื่อจมูก ภาวะซีด (ในรายที่เสียเลือดมาก)

ในรายที่มีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา อาจตรวจพบความผิดปกติ เช่น ไข้ น้ำมูกไหล จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว เลือดออกตามที่อื่น ๆ ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก สิ่งแปลกปลอมในรูจมูก ความดันโลหิตสูง ดีซ่าน ตับโต เป็นต้น 

ในรายที่เลือดกำเดาออกรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือตรวจพบหรือสงสัยว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจจมูกและโพรงหลังจมูก ตรวจชิ้นเนื้อ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นเป็นเวลา 10 นาที บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน

ส่วนมากมักจะได้ผลโดยวิธีดังกล่าว ถ้าไม่ได้ผลให้ทำซ้ำอีกครั้งนาน 10 นาที

ถ้าเลือดยังไม่หยุด แพทย์จะใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชิ้นเล็ก ๆ ชุบอะดรีนาลิน ขนาด 1:1,000 ให้ชุ่มสอดเข้าในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก ยัดให้แน่น ยานี้จะช่วยให้หลอดเลือดฝอยตีบลงและเลือดหยุดได้ ควรยัดผ้าก๊อซไว้นาน 2-3 ชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดดีแล้วจึงค่อย ๆ ดึงออก

ในรายที่เลือดออกไม่หยุด อาจต้องรักษาโดยการจี้ด้วยสารเคมี-ซิลเวอร์ไนเทรต (silver nitrate) หรือจี้ด้วยความร้อน (electrocautery)

2. ในรายที่แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม พบภาวะซีด หรือโรคที่เป็นสาเหตุ ก็จะทำการรักษาภาวะ/โรคที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีดจากการเสียเลือด, ให้ยารักษาโรค (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด), ปรับเปลี่ยนยา (ที่ใช้รักษาโรคอยู่เดิม) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหล, เอาสิ่งแปลกปลอมออก, ผ่าตัดแก้ไข (เช่น ผนังกั้นจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูก) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้ภายในเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าหลังจากนั้นผู้ป่วยไม่ได้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ก็อาจกำเริบซ้ำได้อีก

ส่วนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่อง
 

วิธีห้ามเลือดกำเดา

การปฐมพยาบาล สำหรับอาการเลือดกำเดาไหล

    จัดให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย
    ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน นาน 10 นาที
    ถ้าคลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่บีบจมูกออกแล้วเลือดยังไม่หยุด ให้ทำการบีบจมูกตามขั้นตอนข้างต้นซ้ำอีกครั้ง นาน 10 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดควรรีบไปพบแพทย์ หรือให้แพทย์ทำการช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นต่อไป

หมายเหตุ

    ระหว่างให้การปฐมพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยนอนราบหรือเงยหน้าขึ้น เพราะผู้ป่วยอาจกลืนเลือดลงไประคายต่อกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียนได้ หากมีเลือดไหลลงคอหรือปาก ควรคายออก อย่ากลืนลงไป
    หลังจากให้การช่วยเหลือจนเลือดหยุดแล้ว ควรระวังไม่ให้มีเลือดกำเดาออกอีก โดย
    - รักษาศีรษะให้อยู่ในระดับสูงกว่าหัวใจ อย่าก้มศีรษะให้อยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ และห้ามออกแรงเบ่ง ยกของหนัก เป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง
    - ห้ามสั่งน้ำมูก แคะจมูก ขยี้จมูก เป็นเวลา 4-5 วัน
    - ถ้าเป็นไปได้ควรระวังไม่ให้ไอ จาม


การดูแลตนเอง

1. เมื่อมีเลือดกำเดาไหล ควรทำการปฐมพยาบาล

ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ทำการปฐมพยาบาลไม่ได้ผล หรือมีเลือดกำเดาออกนานเกิน 20 นาที
    เลือดออกมาก หรือมีเลือดออกตามที่อื่น ๆ
    หายใจลำบาก
    มีอาการอาเจียนเพราะกลืนเลือดลงกระเพาะอาหารมาก
    ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น รถชน ตกจากที่สูง ถูกทุบตีที่ศีรษะ/ใบหน้า/จมูก
    มีภาวะซีดจากการเสียเลือด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด/สารกันเลือดเป็นลิ่ม
    มีโรคประจำตัว เช่น โรคเลือด ความดันโลหิตสูง โรคตับเรื้อรัง
    พบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

2. กรณีที่ไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    - มีเลือดกำเดาไหลไม่หยุดหรือกำเริบใหม่
    - เจ็บหรือแน่นจมูกมาก หายใจลำบาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนบ่อย มีไข้สูง เบื่อ อาหาร หรือน้ำหนักลด
    - กินยาที่แพทย์ให้กลับไปกินที่บ้าน แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

สำหรับเลือดกำเดาที่พบบ่อยซึ่งมักเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการแคะจมูก และตัดเล็บให้สั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก)
    หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
    ไม่สูบบุหรี่
    จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
    ถ้าเป็นหวัด น้ำมูกไหล ใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ และไม่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ
    หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรพ่นรูจมูกด้วยสเปรย์น้ำเกลือ/หยอดจมูกด้วยน้ำเกลือ วันละ 2-3 ครั้งเพื่อให้จมูกชุ่มชื้น
    ถ้ามีอาการเลือดกำเดาเวลานอนในห้องปรับอากาศ ควรตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นไว้ในห้อง หรือวางภาชนะใส่น้ำ (เช่น แก้ว ขัน กระป๋อง กะละมัง) ไว้ใกล้หัวนอน เพื่อเพิ่มความชื้น และ/หรือใช้วาสลินป้ายในรูจมูกก่อนนอน
    ถ้าทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อศีรษะ/จมูก ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน
    ในรายที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็ควรดูแลรักษาโรคเหล่านี้ให้ถูกต้อง

ข้อแนะนำ

1. เลือดกำเดาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในเด็ก มักไม่รุนแรง และหยุดได้ภายใน 20 นาที โดยอาจหยุดได้เองหรือหลังให้การปฐมพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเลือดกำเดาไหลนานหรือรุนแรง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ หากมีเลือดกำเดาไหล อาจมีความรุนแรง มีเลือดไหลมากและนานได้ เนื่องจากอาจมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเลือด โรคตับเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง มะเร็งโพรงหลังจมูก) หรือกินยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย (เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด สารกันเลือดเป็นลิ่ม) ดังนั้น เมื่อมีเลือดกำเดาเกิดขึ้น ควรเฝ้าสังเกตอาการ หากมีเลือดกำเดาออกมากหรือนานเกิน 20 นาที ก็ควรรีบไปพบแพทย์

18
บ้านติดรถไฟฟ้า ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
เริ่มต้น 5.99 ลบ. 

ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
บ้านเดี่ยว หลังใหญ่ พื้นที่กว้าง รองรับทุกคนในครอบครัว Modern Style ดีไซน์ทันสมัย ฟังก์ชันการใช้งานเหมาะกับทุกคนในครอบครัว ใช้วัสดุคุณภาพ ประหยัดพลังงาน ระบบ Home Automation รองรับการใช้งานของทุกคนในครอบครัว พื้นที่สวนขนาดใหญ่ 2 จุด เพื่อให้คุณและครอบครัวผ่อนคลายจากกิจกรรมภายนอก

รายละเอียดโครงการ
 ชื่อโครงการ                ศุภาลัย พาร์ควิลล์ รังสิต - คลอง 4 (Supalai Park Ville Rangsit - Klong 4)
 เจ้าของโครงการ           ศุภาลัย
 แบรนด์ย่อย                ศุภาลัย พาร์ควิลล์
 ราคา                        เริ่มต้น 5.99 ลบ.

 ประเภทบ้าน            บ้านเดี่ยว
 ลักษณะทำเล           บ้านใกล้เมือง
 พื้นที่โครงการ           92 ไร่
 จำนวนบ้าน            375 หลัง
 แบบบ้านทั้งหมด     6 แบบ
  เนื้อที่บ้าน            โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 พื้นที่ใช้สอย          ตั้งแต่ 175 ถึง 318 ตร.ม.
 จำนวนชั้น            2 ชั้น
 หน้ากว้าง             โปรดสอบถามข้อมูลกับทางโครงการ
 จำนวนห้องนอน       ตั้งแต่ 3 ถึง 4 ห้อง
 จำนวนที่จอดรถ       2 คัน
 สาธารณูปโภค         สวนสาธารณะ, คลับเฮาส์, สระว่ายน้ำ, ฟิตเนส, รปภ., CCTV, Keycard System (Easy Pass), Home Automation

สถานที่ใกล้เคียง
 โซน          ปทุมธานี, คลองหลวง, ธัญบุรี, ลำลูกกา
 ที่ตั้ง          ตำบลบึงยี่โถ อำเภอธัญบุรี จังหวัดปทุมธานี 12130

 ขนส่งสาธารณะ
ใกล้รถไฟฟ้า, รถไฟฟ้าสายสีแดงเข้ม, สถานี(บางซื่อ - รังสิต)(รังสิต)
ใกล้ทางด่วน (ทางด่วนกาญจนาภิเษก, ดอนเมืองโทลเวย์)

 สถานที่สำคัญใกล้เคียง
Lotus รังสิต คลอง 4 1.6 กม.
โรงเรียน สวนกุหลาบวิทยาลัย รังสิต 3 กม.
Dream World 3 กม.
โรงเรียนโชคชัย รังสิต 3.5 กม.
โรงพยาบาล บางปะกอก รังสิต 7 กม.
Future Park Rangsit 8 กม.
Zpell 8 กม.
โรงพยาบาลเปาโล รังสิต 8 กม.
สนามบินดอนเมือง 18 กม.

19
ตรวจอาการม่านตาอักเสบ (lritis/Anterior uveitis)

ม่านตาอักเสบ (ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ ก็เรียก) เป็นภาวะอักเสบของม่านตา (iris)* พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย แต่จะพบมากในวัยทำงาน (กลุ่มอายุ 20-60 ปี) แม้โรคนี้พบได้ไม่บ่อย แต่อาจมีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงถึงขั้นสูญเสียการมองเห็นได้

*ม่านตา คือเนื้อเยื่อที่อยู่โดยรอบรูม่านตาที่ด้านหน้าตรงกลางลูกตา ซึ่งเห็นเป็นสีต่าง ๆ (เช่น น้ำตาล เทา ฟ้า) ม่านตาเป็นส่วนหนึ่งของผนังลูกตาชั้นกลาง (uvea) แต่เป็นส่วนที่อยู่ด้านหน้าของลูกตา เมื่อเกิดการอักเสบ เรียกว่า "ม่านตาอักเสบ (iritis)" หรือ "ผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ (anterior uveitis)" ซึ่งพบได้บ่อยที่สุดของโรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ทั้งหมด

โรคผนังลูกตาชั้นกลางอักเสบ (uveitis) ถ้าเกิดที่ส่วนกลางของผนังลูกตา เรียกว่า Intermediate uveitis ถ้าเกิดที่ส่วนหลังของผนังลูกตา เรียกว่า Posterior uveitis ถ้าเกิดที่ผนังลูกตาทุกส่วนตั้งแต่ส่วนหน้าถึงส่วนหลัง เรียกว่า Panuveitis 

ในที่นี้จะกล่าวถึงเฉพาะโรคม่านตาอักเสบ หรือผนังลูกตาชั้นกลางส่วนหน้าอักเสบ

สาเหตุ

ผู้ป่วยส่วนหนึ่งไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด ส่วนที่ทราบอาจมีสาเหตุได้หลายอย่าง เช่น

    การติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น วัณโรค ซิฟิลิส) ไวรัส (เช่น เริม งูสวัด เอดส์) เชื้อรา (เช่น histoplasmosis) หรือโปรโตซัว (เช่น toxoplasmosis)
    การได้รับบาดเจ็บที่บริเวณตา เช่น ถูกกระทบกระแทก บาดแผลถูกแทงทะลุ บาดแผลถูกไฟไหม้น้ำร้อนลวกหรือสารเคมี
    โรคภูมิต้านตนเอง (โรคออโตอิมมูน) ที่สัมพันธ์กับยีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27 หรือ Human leukocyte antigen B27)* เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โซริอาซิสหรือสะเก็ดเงิน
    ยาบางชนิด เช่น Rifabutin (ยาปฏิชีวนะชนิดหนึ่ง), Cidofovir (ยาต้านไวรัสที่ใช้รักษาโรคเอดส์), Bisphosphonates (ยารักษาโรคกระดูกพรุน) เป็นต้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่พบได้เป็นส่วนน้อย เมื่อหยุดยาอาการก็จะหายเป็นปกติ 
    การสูบบุหรี่ พบว่าเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคม่านตาอักเสบมากขึ้น

*เป็นยีน (พันธุกรรม) ที่พบในคนบางคน ซึ่งกำหนดให้ร่างกายสร้างแอนติเจน (สารโปรตีนชนิดหนึ่ง) ที่อยู่บนผิวของเม็ดเลือดขาว เรียกว่า "Human leukocyte antigen B27" แอนติเจนชนิดนี้ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันเกิดปฏิกิริยาต่อต้านเซลล์ที่ปกติของร่างกาย ก่อเกิดโรคภูมิต้านตนเอง (autoimmune disease) ได้หลากหลายชนิด

อาการ

อาการอาจเกิดกับตาเพียงข้างเดียวหรือ 2 ข้างก็ได้ ส่วนใหญ่มักเป็นม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน คือมีอาการเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน บางรายอาจเป็นม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง คือมีอาการแบบค่อยเป็นค่อยไป หรือเป็นเรื้อรังนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

ม่านตาอักเสบแบบเฉียบพลัน ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตา ตาแดง น้ำตาไหล ไวต่อแสง (ไม่สู้แสง หรือกลัวแสง) ตามองเห็นไม่ชัดหรือพร่ามัว บางรายอาจมีอาการปวดศีรษะร่วมด้วย

ผู้ป่วยจะรู้สึกปวดตามากเมื่ออยู่ในที่สว่างหรือมีแสงจ้า แต่จะดีขึ้นเมื่ออยู่ในที่ร่มหรือมีแสงสลัว

อาการมักเกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และจะเป็นอยู่นานเป็นชั่วโมง ๆ หรือเป็นวัน ๆ ถึงหลายสัปดาห์ เมื่อหายแล้วอาจกำเริบได้ใหม่

ม่านตาอักเสบแบบเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการตาพร่ามัว ตาแดงเล็กน้อย ปวดตาเล็กน้อย และกลัวแสงเพียงเล็กน้อย มักเป็นนานเกิน 3 เดือนขึ้นไป

นอกจากนี้ สำหรับม่านตาอักเสบที่มีความสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ก็จะมีอาการของโรคนั้น ๆ ร่วมด้วย เช่น ปวดหลังเรื้อรัง (ถ้าเป็นข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) ท้องเดินเรื้อรัง (ถ้าเป็นลำไส้อักเสบเรื้อรัง) มีไข้หรือไอเรื้อรัง (ถ้าเป็นวัณโรคปอด) เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าไม่ได้รับการรักษา อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่สำคัญ ดังนี้

    ต้อกระจก มักพบในผู้ป่วยที่ปล่อยให้ม่านตาอักเสบเรื้อรังนาน ๆ 
    ต้อหิน เนื่องจากมีการอุดกั้นของทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตา ซึ่งอาจเกิดจากมีเม็ดเลือดขาวที่เกิดจากการอักเสบไปอุดกั้น หรือเกิดจากมีพังผืดไปทำให้ทางระบายน้ำเลี้ยงลูกตายึดติดกัน ทำให้ความดันลูกตาเพิ่มสูงขึ้น และกลายเป็นต้อหินตามมา
    ขอบรูม่านตาไม่เรียบ (irregular pupil) เนื่องจากมีพังผืดไปทำให้เกิดการยึดติดกันของม่านตากับกระจกตาหรือเลนส์ตา (แก้วตา)   
    กระจกตาเสื่อม เนื่องจากมีหินปูนพอกกระจกตา ทำให้สายตาพร่ามัว
    น้ำวุ้นลูกตาอักเสบ (vitritis) มีอาการเห็นเงาหยากไย่หรือจุดดำ (floaters) ลอยไปมามากขึ้น โดยการมองเห็นไม่ได้แย่ลง
    จอตาอักเสบ (retinitis) ทำให้สายตาพร่ามัวหรือสูญเสียการมองเห็น
    จุดภาพชัดที่จอตาบวม (macular edema) ทำให้มองเห็นช่วงตรงกลางของภาพไม่ชัดหรือพร่ามัว

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย รวมทั้งการตรวจตา จะพบว่าบริเวณตาขาวที่อยู่ใกล้ขอบตาดำ มีลักษณะแดงเรื่อ ๆ โดยไม่มีขี้ตา แต่อาจมีน้ำตาไหล รูม่านตาอาจมีขนาดเล็กกว่าข้างปกติ มีรูปลักษณ์ผิดแปลกหรือขอบไม่เรียบ กระจกตาอาจมีลักษณะขุ่นเล็กน้อย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัด โดยการตรวจวัดสายตา ความดันลูกตา การใช้กล้องจุลทรรศน์ชนิดพิเศษ (slit-lamp ซึ่งสามารถเห็นทั้งภายนอกและภายในดวงตาแบบภาพ 3 มิติ) ส่องตรวจตา

นอกจากนี้ ในรายที่สงสัยว่ามีภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุร่วมด้วย แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ตรวจเลือด (ดูภาวะติดเชื้อ เช่น เอดส์ ซิฟิลิส) เอกซเรย์ (เช่น ตรวจหาวัณโรคปอด ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) เป็นต้น

ในรายที่เป็นเรื้อรัง มีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือสงสัยว่ามีความสัมพันธ์กับโรคภูมิต้านตนเอง อาจทำการตรวจเลือดหายีนเอชแอลเอ-บี27 (HLA-B27)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะตรวจหาภาวะหรือโรคที่เป็นสาเหตุ และให้การรักษาสาเหตุที่พบ เช่น ให้ยาต้านจุลชีพ (ปฏิชีวนะ/ยาต้านไวรัส) ในรายที่เป็นโรคติดเชื้อ ให้สเตียรอยด์/ยากดภูมิคุ้มกัน ในรายที่เป็นโรคภูมิต้านตนเอง

ส่วนภาวะม่านตาอักเสบ แพทย์จะให้การรักษา ดังนี้

    ให้ยาหยอดตาที่ทำให้รูม่านตาขยาย เพื่อให้ม่านตาได้พักบรรเทาอาการปวด และป้องกันไม่ให้ม่านตาที่อักเสบไปยึดติดกับแก้วตาที่อยู่ข้างหลัง
    ให้สเตียรอยด์ชนิดเป็นยาหยอดตา เพื่อลดการอักเสบ หากไม่ได้ผลหรือมีอาการกำเริบบ่อย ก็จะให้สเตียรอยด์ชนิดกิน หรือให้ยากดภูมิคุ้มกัน (immunosuppressant)   

ผลการรักษา การรักษาแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้โรคทุเลาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ได้ ส่วนใหญ่อาจต้องใช้เวลารักษาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนจนกว่าอาการจะทุเลาดี

สำหรับม่านตาอักเสบที่เกิดจากการบาดเจ็บ มักจะค่อย ๆ หายไปได้เองภายใน 1-2 สัปดาห์ ในรายที่เกิดจากการติดเชื้อ อาการจะทุเลาหลังจากได้รับการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพ (ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านไวรัส)

บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ นานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในรายที่เกิดจากโรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง) แพทย์จะให้ยาหยอดตาสเตียรอยด์ไว้ประจำที่บ้าน และแนะนำว่าเมื่อมีอาการกำเริบใหม่ ให้ใช้หยอดตาทันทีแล้วค่อยไปพบแพทย์


การดูแลตนเอง

หากสงสัยเป็นม่านตาอักเสบ (มีอาการปวดตา ตาแดง และตามัว) ควรปรึกษาแพทย์ด่วน

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคนี้ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา ใช้ยา ปฏิบัติตัว และติดตามการรักษาตามที่แพทย์แนะนำ
    ประคบตาด้วยน้ำอุ่นจัด ๆ วันละ 3-4 ครั้ง นานครั้งละ 20 นาที
    สวมแว่นตาดำ หากมีอาการปวดตามากขึ้นเวลาถูกแสงสว่าง
    ถ้าปวดตามาก กินพาราเซตามอลบรรเทาปวด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    มีอาการปวดตารุนแรง ตาแดงหรือตามัวมากขึ้น
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้ หรือมีอาการที่สงสัยว่าเป็นผลข้างเคียงจากยาหรือแพ้ยา

การป้องกัน

เนื่องจากโรคนี้ส่วนหนึ่งเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี

สำหรับส่วนที่มีสาเหตุ เช่น การบาดเจ็บ โรคติดเชื้อ (เช่น เริม งูสวัด วัณโรคปอด ซิฟิลิส) โรคภูมิต้านตนเอง (เช่น ข้อสันหลังอักเสบเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง โรคโซริอาซิส) เป็นต้น ก็อาจป้องกันไม่ให้ม่านตาอักเสบกำเริบด้วยการป้องกันและควบคุมภาวะเหล่านี้

ข้อแนะนำ

1. อาการปวดตาและตาแดง อาจมีสาเหตุที่ไม่รุนแรง เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ หรืออาจมีสาเหตุที่รุนแรง เช่น ต้อหิน แผลกระจกตา ม่านตาอักเสบ เราอาจวินิจฉัยแยกกลุ่มโรคที่รุนแรงออกจากกลุ่มที่ไม่รุนแรงได้ โดยการตรวจพบว่า กลุ่มโรคที่รุนแรงจะมีอาการปวดตามาก ตามัว รูม่านตา 2 ข้างไม่เท่ากัน หรือกระจกตาขุ่นหรือเป็นฝ้าขาว หากพบอาการอย่างใดอย่างหนึ่งดังกล่าว ควรปรึกษาแพทย์ด่วน (ตรวจอาการ ตามัว/ตาฝ้าฟาง/มองเห็นเงาหรือภาพผิดปกติ/เห็นภาพซ้อน และ ปวดตา/เจ็บตา เพิ่มเติม)

2. ผู้ป่วยควรดูแลรักษากับแพทย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการปวดตาและตามัวอย่างฉับพลัน ควรได้รับการรักษาจากจักษุแพทย์ภายใน 24 ชั่วโมง จะช่วยให้โรคทุเลาดี และป้องกันภาวะแทรกซ้อนและการสูญเสียการมองเห็น (ตาบอดอย่างถาวร)

นอกจากนี้ ผู้ป่วยไม่ควรใช้ยาพร่ำเพรื่อเกินที่แพทย์แนะนำ หรือหยุดยาเองตามใจชอบ หรือซื้อยามาใช้เอง และไม่ควรนำยาที่แพทย์สั่งให้ใช้ไปให้ผู้อื่นใช้ เนื่องจากยาเหล่านี้ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาสเตียรอยด์) อาจมีผลข้างเคียง (เช่น ต้อหิน ต้อกระจก) หรือเกิดผลแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้หากใช้ไม่ถูกต้อง

20
จัดฟันบางนา: วิธีการดูแลสุขภาพเหงือกและฟันให้แข็งแรงและสวยงาม

สุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องต้องใส่ใจดูแลเป็นพิเศษ เพราะถ้าหากเราไม่ใส่ใจดูแลรักษาฟันแล้ว อาจก่อให้เกิดฟันผุ ปวดฟัน และทำให้มีกลิ่นปากได้ เพราะว่าเรานั้นใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารอย่างหนัก แต่หลายคนกลับละเลย การดูแลรักษาฟัน และเหงือกไปซะอย่างนั้น ปัญหาในช่องปากเลยถามหา โดยเฉพาะคราบแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดคราบหินปูน และเร่งให้ฟันผุเร็วขึ้น ทำให้เสี่ยงโรคร้ายได้เกินกว่าจะคาดคิด เรามีเคล็ดลับการดูแลสุขภาพฟันให้แข็งแรงมาบอกต่อ เพื่อที่ฟันแข็งแรงและสวยงามอยู่กับเราไปตลอด…


วิธีดูแลสุขภาพเหงือกและฟัน

1.    แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เพราะนอกจากจะทำให้ฟันสะอาดแล้วก็ยังทำให้ลมหายใจหอมสดชื่นอีกด้วย และช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคที่เรียที่มาจากคราบจุลินทรีย์ซึ่งเป็นสาเหตุของการฟันผุและโรคเหงือกอีกมากมาย

2.    ใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพราะแปรงที่มีขนแข็งเกินไปอาจจะทำให้เหงือกร่นได้ และควรแปรงฟันไม่ต่ำกว่า 2 นาที

3.    ใช้ยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์และควรใช้แปรงสีฟันที่มีขนอ่อนนุ่ม เพราะแปรงที่มีขนแข็งเกินไปอาจจะทำให้เหงือกร่นได้

4.    ควรใช้ไหมขัดฟันร่วมด้วยทุกครั้งเพื่อลดคราบหินปูนที่เกาะอยู่ตามซอกฟันที่ขนแปรงเข้าไม่ถึง โดยพันไหมขัดฟันไว้ที่นิ้วชี้ ทั้งสองข้าง และใช้นิ้วโป้งช่วยจับไหมขัดฟันไว้ จากใช้ไหมขัดฟันพันรอบฟันทีละซี่ ขัดขึ้น-ลง อย่าขัดข้างหน้า-หลัง และอย่าขัดแรงเพราะจะทำให้เจ็บเหงือกได้

5.    ไม่ควรใช้การเคี้ยวหมากฝรั่งหรือใช้น้ำยาบ้วนปากแทนการแปรงฟัน เพราะไม่ช่วยให้คราบจุลินทรีย์ต่าง ๆ หลุดออกไปได้

6.    คนที่ใส่เหล็กดัดฟันหรือใส่ฟันปลอม อย่าลืมตรวจสอบและทำความสะอาดเป็นประจำ

7.    ตรวจสุขภาพฟันตามกำหนดทุก 6 เดือน


21
mobile expo 2025: เอเซอร์เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานบนคลาวด์ด้วย Chromebook Plus Enterprise สองรุ่นใหม่

เอเซอร์ เปิดตัว Chromebook Plus Enterprise 2 รุ่นใหม่ ด้วยเทคโนโลยีอันทรงพลังและความสามารถของ AI จาก Google ที่จะช่วยให้ธุรกิจ องค์กร และผู้ใช้งานได้รับประสบการณ์ที่ทันสมัยด้วยการติดตั้งเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อการทำงานบนคลาวด์ให้มีประสิทธิภาพและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

Acer Chromebook Plus Enterprise ทั้ง 2 รุ่น ได้แก่ Acer Chromebook Plus Enterprise 515 และ Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 ช่วยปลดล็อกและเสริมประสิทธิภาพการทำงานของ Chrome OS ทำให้มั่นใจในระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง การจัดการที่เรียบง่าย การเข้าถึงที่ยืดหยุ่น และการสนับสนุนด้านการดูแลระบบที่ได้รับการปรับปรุง ควบคู่ไปกับมาตรฐานความเร็ว หน่วยความจำ และพื้นที่เก็บข้อมูลที่เพิ่มขึ้นสองเท่า. Acer Chromebook Plus Spin 514 (CP514-4HN) สำหรับผู้ใช้งานทั่วไปและระดับองค์กร

Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่ ได้นำ Google AI บน ChromeOS มาเพื่อยกระดับประสิทธิภาพและการทำงานร่วมกันของพนักงาน และองค์กรต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานขนาดใหญ่ ธุรกิจขนาดเล็ก ร้านค้าปลีกไปจนถึงหน่วยงานด้านการดูแลสุขภาพ ซึ่งทุกภาคส่วนต่างต้องการอุปกรณ์ที่เชื่อถือได้และรองรับการทำงานด้าน AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และ Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่นี้ตอบโจทย์ทุกความต้องการ เจมส์ ลิน ผู้จัดการทั่วไปกลุ่มผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊ก, เอเซอร์ อิงค์ กล่าว

ขับเคลื่อนด้วยโปรเซสเซอร์ Intel® Core™ 7 150U, RAM LPDDR5X สูงสุด 16 GB ให้ประสิทธิภาพที่ยอดเยี่ยม รวมถึงความสามารถการทำงานแบบมัลติทาสก์ที่เพิ่มขึ้น และความสามารถทาง AI เพื่อการทำงานร่วมกันบนระบบคลาวด์. ธุรกิจและองค์กรต่างๆ มั่นใจได้กับระบบ ChromeOS ช่วยให้การใช้งานแอปพลิเคชันต่างๆ มีความอย่างราบรื่นและปลอดภัย นอกจากนี้ Acer Chromebook ยังเพิ่มประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ให้ใช้งานได้ยาวนานสูงสุด 10 ชั่วโมง และรองรับการชาร์จแบบเร็วเพื่อช่วยประหยัดเวลา
รองรับการประชุมทางออนไลน์ในหลายแอปพลิเคชั่น ด้วย Google AI-powered Call Tools

การประชุมออนไลน์ใน Acer Chromebook Plus Enterprise สามารถเลือกใช้แอปที่ต้องการได้ เช่น Zoom, Slack, Google Meet และ Microsoft Teams ที่สามารถมั่นใจได้ว่าภาพของผู้ใช้งานจะดูดีและเสียงชัดเจนด้วยเว็บแคมของเครื่องที่มาพร้อมเทคโนโลยี Temporal Noise Reduction (TNR) จาก Acer ช่วยตัดเสียงรบกวน นอกจากนี้ เครื่องมือสำหรับวิดีโอคอลที่ใช้ AI จาก Google ที่ติดตั้งมากับ ChromeOS ยังช่วยปรับปรุงความคมชัดและความสว่างของแสง ตัดเสียงรบกวนอัตโนมัติ และเบลอพื้นหลังโดยอัตโนมัติ ลำโพงคู่และระบบเสียง DTS® Audio ช่วยเพิ่มคุณภาพของเสียงให้ดีมากขึ้นเพื่อการประชุมที่สมบูรณ์แบบ
หน้าจอขนาดใหญ่ เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน พร้อมดีไซน์ที่แข็งแรงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
   
Acer Chromebook Plus Enterprise 515 (CBE595-2/T) มีหน้าจอแสดงผล Full HD 15.6” (1920x1080) เทคโนโลยี IPS ช่วยให้มองเห็นรายละเอียดในสเปรดชีท, กราฟิก และรูปภาพ ได้อย่างคมชัด หน้าจอขนาดใหญ่ยังมีพื้นที่เพียงพอสำหรับแป้นพิมพ์ตัวเลขเฉพาะบนคีย์บอร์ด ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้อนข้อมูล เหมาะสำหรับผู้ใช้งานในสายงานการเงิน, ธุรกิจค้าปลีก, บริการ รวมถึงงานในสาย STEM (วิทยาศาสตร์, เทคโนโลยี, วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์)
   
Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 (CPE594-1N) มาพร้อมหน้าจอ 14” WUXGA (1920x1200) ด้วยดีไซน์แบบ 2-in-1 และบานพับ 360 องศา ช่วยให้ Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ถึงสี่แบบ ได้แก่ การใช้งานแบบโน้ตบุ๊ก, แบบแท็บเล็ต, การใช้งานแบบสัมผัสหรือแบบการจดบันทึกรองรับการใช้งานร่วมกับปากกา USI active stylus โดยตรงบนหน้าจอทัชสกรีน Antimicrobial Corning® Gorilla® Glass พกพาคล่องตัวด้วยน้ำหนักเพียง 1.5 กก.

Acer Chromebook Plus Enterprise ทั้ง 2 รุ่น มีบอดี้ที่แข็งแรงทนทานได้รับมาตรฐาน MIL-STD 810H และทนต่อแรงกระแทกได้ดี นอกจากนี้ยังเสริมรูปลักษณ์ให้เหมาะในสถานการณ์ที่ต้องพบปะลูกค้า การใช้งานในร้านค้าปลีก การประชุม รวมถึงพกพาได้สะดวก ทั้ง 2 รุ่นยังมาพร้อมแป้นพิมพ์ Backlit ช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพแม้ในสภาพแสงน้อย ทำงานบนคลาวด์ได้อย่างต่อเนื่อง เชื่อมต่อสัญญาณได้รวดเร็วและเสถียรด้วย Wi-Fi 6E พร้อมพอร์ตเชื่อมต่อและอุปกรณ์ชาร์ตต่างๆ เช่น HDMI และพอร์ต USB Type-C

Acer Chromebook Plus Enterprise รุ่นใหม่จากเอเซอร์ รองรับภารกิจ Earthion โดยมีการลงทะเบียน EPEAT หลายรายการ รวมถึงคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ทัชแพด OceanGlass™ ที่ทำมาจากขยะพลาสติกที่อยู่ในทะเล ประกอบด้วยวัสดุรีไซเคิล บรรจุภัณฑ์ที่คำนึงถึงความยั่งยืน และการออกแบบเพื่อช่วยเรื่องการประหยัดพลังงานที่ตรงตามการรับรอง Energy Star.


Acer Chromebook Plus Enterprise โน้ตบุ๊กสำหรับธุรกิจ

Acer Chromebook Plus Enterprise มาพร้อมกับคุณสมบัติที่ปลดล็อคทุกการใช้งานสำหรับ Chrome OS ช่วยให้ฝ่าย IT เตรียมอุปกรณ์ให้กับพนักงานได้อย่างรวดเร็วด้วยการลงทะเบียนแบบ Zero-Touch และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการจัดการอุปกรณ์ที่ง่ายต่อการดูแล ช่วยให้ผู้ใช้ทำงานได้ง่ายขึ้น. ChromeOS ยังช่วยปกป้องอุปกรณ์ให้ปลอดภัยมากขึ้น และช่วยป้องกันการโจมตีและโจรกรรมทางไซเบอร์ ด้วยคุณสมบัติต่างๆ เช่น การจัดการระบบคลาวด์ ระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง และการควบคุมการเข้าถึงข้อมูล. การอัพเดทระบบ รายงานข้อมูลเชิงลึก และการแก้ปัญหาด้านเทคนิคทำได้ง่ายขึ้นด้วยการบริการจาก Google Support  ตลอด 24 ชั่วโมง (ทุกวัน) และการช่วยเหลือในการแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับ  ChromeOS

Chrome Education Upgrade เพื่อการจัดการ การใช้งานในสถานศึกษา
Acer Chromebook Plus รุ่นใหม่รองรับการใช้งานร่วมกับ Chrome Education Upgrade สำหรับการจัดการอุปกรณ์ในสถานศึกษาได้อย่างราบรื่น. Chrome Education Upgrade ช่วยให้ผู้ดูแลระบบจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้ดี ช่วยจัดการคุณสมบัติทั้งหมดของ Chromebook ผู้ดูแลระบบยังสามารถใช้ประโยชน์จากคุณสมบัติที่ดีของ Chromebook Education Upgrade เช่น การตั้งค่าอุปกรณ์ให้พร้อมใช้งานสำหรับกลุ่มผู้ใช้งานด้วย zero-touch enrollment และ Google Support ที่ให้บริการทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง 

ราคาและการวางจำหน่าย
Acer Chromebook Plus Enterprise 515 (CBE595-2/T) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนมิถุนายน ราคาเริ่มต้นที่ 649.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 579 EUR.
Acer Chromebook Plus Enterprise Spin 514 (CPE594-1N) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 749.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 679 EUR.
Acer Chromebook Plus Spin 514 (CP514-4HN) วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือในเดือนสิงหาคม ราคาเริ่มต้นที่ 549.99 USD สำหรับทวีปยุโรป ตะวันออกกลาง และแอฟริกา (EMEA) วางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคม ราคาเริ่มต้นที่ 679 EUR.
รายละเอียดสเปก ราคา และการวางจำหน่ายอาจแตกต่างกันตามภูมิภาค. สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการวางจำหน่าย ข้อมูลจำเพาะของผลิตภัณฑ์ และราคาได้ที่ตัวแทนจำหน่ายใกล้คุณ

เข้าชม Acer’s Media Center สำหรับภาพผลิตภัณฑ์ สเปคและข้อมูลต่างๆ หรือ Acer Press Room เพื่อติดตามข่าวสารทั้งหมดจากเอเซอร์

22
วัดน้ำเชี่ยวเป็นวัดที่เงียบสงบธรรมชาติสวยงามเหมาะใส่ชุดขาวปฏิบัติธรรมแบบพุทธละวางความยึดติด

วัดน้ำเชี่ยวตั้งอยู่ในจังหวัดตราดซึ่งเป็นจังหวัดที่เงียบสงบเหมาะแก่การหลีกหนีจากความวุ่นวายในชีวิตประจำวัน วัดแห่งนี้รายล้อมไปด้วยต้นไม้เขียวขจีและบรรยากาศที่สงบเงียบเป็นสถานที่ที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรม พัฒนาความสงบภายในและดื่มด่ำกับการปฏิบัติธรรมแบบพุทธใส่ชุดขาว ชุดขาวชาย ชุดขาวหญิง ชุดขาวปฏิบัติธรรม มาเที่ยววัดน้ำเชี่ยวตั้งอยู่ท่ามกลางธรรมชาติอันสวยงาม

โดยมีฉากหลังเป็นต้นไม้และพืชพรรณท้องถิ่นที่เงียบสงบ บรรยากาศที่เปิดโล่งสดชื่นช่วยสร้างความสงบ ชวนให้ผู้มาเยี่ยมชมตัดขาดจากสิ่งรบกวนภายนอกและมุ่งความสนใจไปที่ปัจจุบัน สถาปัตยกรรมของวัดและทิวทัศน์รอบข้างที่เรียบง่ายช่วยสร้างบรรยากาศที่เงียบสงบเป็นธรรมชาติ เหมาะแก่การทำสมาธิและการไตร่ตรองส่วนตัว

การปฏิบัติธรรม: การเจริญสติและความเมตตา
การปฏิบัติธรรมที่วัดน้ำเชี่ยวประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ ที่ออกแบบมาเพื่อให้มีความตระหนักรู้และเข้าใจคำสอนของพุทธศาสนามากยิ่งขึ้น วัดมักจัดให้มีการนั่งสมาธิโดยมีพระภิกษุผู้มีประสบการณ์เป็นผู้นำ ซึ่งจะคอยแนะนำผู้เข้าร่วมในการสงบจิตใจและสังเกตความคิดโดยไม่ตัดสิน กิจกรรมเหล่านี้มักประกอบด้วย:

การนั่งสมาธิและการเดินสมาธิ:การสลับระหว่างการนั่งสมาธิและการเดินสมาธิอย่างมีสติ ช่วยให้ผู้เข้าร่วมมีความตระหนักรู้ถึงการมีอยู่ทางร่างกายของตนเอง และมีสมาธิที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
ธรรมเทศนา:ธรรมเทศนาของพระสงฆ์ในวัดจะให้ความรู้เกี่ยวกับปรัชญาพุทธ โดยมุ่งเน้นที่แนวคิดเช่น ความเมตตา วินัยในตนเอง และการละวางความยึดติด
การสวดมนต์และการไตร่ตรอง:การสวดมนต์ในตอนเช้าและตอนเย็นเป็นโอกาสในการบูชาและไตร่ตรองทางจิตวิญญาณร่วมกัน ส่งเสริมความรู้สึกเชื่อมโยงกับชุมชนและคำสอนของชาวพุทธ
ที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวก
สำหรับผู้ที่ต้องการปฏิบัติธรรมอย่างเต็มตัว วัดน้ำเชี่ยวมีที่พักพื้นฐานไว้ให้บริการ ผู้มาเยี่ยมชมจะได้รับการสนับสนุนให้ใช้ชีวิตเรียบง่ายตลอดระยะเวลาที่เข้าพัก โดยเน้นที่การทบทวนตนเองและการเติบโตทางจิตวิญญาณ วัดจัดเตรียมอาหารพื้นฐานที่ปรุงตามแนวทางของพุทธศาสนา เพื่อสนับสนุนสภาพแวดล้อมที่ดีต่อสุขภาพสำหรับการทำสมาธิและปฏิบัติธรรม

การเยี่ยมชมวัด: การเดินทางแห่งความสงบภายใน
ไม่ว่าคุณจะเป็นมือใหม่หรือเคยมีประสบการณ์ในการทำสมาธิมาก่อน วัดน้ำเชี่ยวก็เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ทุกคนสามารถเรียนรู้และเติบโตได้ หากต้องการเยี่ยมชม ควรแต่งกายสุภาพและปฏิบัติตามคำแนะนำของวัด โดยให้ความเคารพต่อพระสงฆ์ในท้องถิ่นและผู้ปฏิบัติธรรมคนอื่นๆ

เคล็ดลับปฏิบัติสำหรับการเยี่ยมเยือนที่มีความหมาย
มาถึงแต่เช้า:ช่วงเช้าเป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบเป็นพิเศษ ช่วยให้คุณเพลิดเพลินไปกับบริเวณวัดอันเงียบสงบก่อนที่จะเริ่มเซสชั่นการนั่งสมาธิ
มีส่วนร่วมอย่างเต็มที่:มีส่วนร่วมในกิจกรรมและเปิดใจรับคำสอนเพื่อประสบการณ์ที่ดื่มด่ำอย่างแท้จริง
เคารพประเพณีท้องถิ่น:การปฏิบัติตามมารยาทในวัด เช่น การพูดจาเบาๆ และการแต่งกายให้เกียรติ จะช่วยสร้างบรรยากาศให้กับทุกคน
วัดน้ำเชี่ยวในจังหวัดตราดไม่ได้เป็นเพียงจุดหมายปลายทางในการท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังเป็นการเดินทางสู่การมีสติ ความสงบ และการค้นพบตัวเองอีกด้วย

23
หมอออนไลน์: โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (Rheumatoid arthritis)

โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ (โรคปวดข้อรูมาตอยด์ ก็เรียก) เป็นโรคเรื้อรังชนิดหนึ่ง พบได้ประมาณร้อยละ 1-3 ของคนทั่วไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 4-5 เท่า และพบมากในช่วงอายุ 20-50 ปี แต่ก็พบได้ในคนทุกเพศทุกวัย

สาเหตุ

โรคนี้พบว่ามีการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุข้อเกือบทุกแห่งทั่วร่างกายพร้อม ๆ กัน ร่วมกับมีการอักเสบของพังผืดหุ้มข้อ เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อรอบ ๆ ข้อ เชื่อว่าเป็นผลมาจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีการตอบสนองอย่างผิดปกติต่อเชื้อโรค หรือสารเคมีบางอย่าง (ซึ่งในปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่นอน) ทำให้มีการสร้างสารภูมิต้านทาน (แอนติบอดี) ที่มีปฏิกิริยาต่อเนื้อเยื่อในบริเวณข้อของตัวเอง เรียกว่า ปฏิกิริยาภูมิต้านตนเอง (autoimmune)

พบว่าอาจมีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคนี้ได้มากขึ้น เช่น การมีประวัติว่ามีพ่อแม่หรือญาติพี่น้องเป็นโรคนี้ การสูบบุหรี่ ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน

อาการ

ผู้ป่วยส่วนมากจะมีอาการค่อยเป็นค่อยไป เริ่มด้วยอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อและกระดูกนำมาก่อนนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน แล้วต่อมาจึงมีอาการอักเสบของข้อปรากฏให้เห็น

ส่วนน้อยอาจมีอาการของข้ออักเสบเกิดขึ้นฉับพลันภายหลังได้รับบาดเจ็บ เป็นโรคติดเชื้อ หลังผ่าตัด หลังคลอด หรืออารมณ์เครียด ซึ่งบางรายอาจมีอาการไข้ ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโตร่วมด้วย

ข้อที่เริ่มมีอาการอักเสบก่อน ได้แก่ ข้อนิ้วมือนิ้วเท้า ข้อมือ ข้อเท้า ข้อเข่า ต่อมาจะเป็นที่ข้อไหล่ ข้อศอก

ผู้ป่วยจะมีลักษณะจำเพาะ คือมีอาการปวดข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง และข้อจะบวมแดงร้อน นิ้วมือนิ้วเท้าจะบวมเหมือนรูปกระสวย ต่อมาอาการอักเสบจะลุกลามไปทุกข้อทั่วร่างกาย ตั้งแต่ข้อขากรรไกรลงมาที่ต้นคอ ไหปลาร้า ข้อไหล ข้อศอก ข้อมือ ข้อนิ้วมือลงมาจนถึงข้อเท้าและข้อนิ้วเท้า

บางรายอาจมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ และอาจเป็นเพียงข้างใดข้างหนึ่งของร่างกาย (ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้างของร่างกาย) ก็ได้

อาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก) มักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า ทำให้รู้สึกขี้เกียจหรือไม่อยากตื่นนอน พอสาย ๆ หรือหลังมีการเคลื่อนไหวของร่างกายจะทุเลา

บางรายอาจมีการปวดข้อตอนกลางคืน จนนอนไม่หลับ

อาการปวดข้อจะเป็นอยู่ทุกวัน และมากขึ้นทุกขณะนานเป็นแรมเดือนแรมปี โดยมีบางระยะอาจทุเลาไปได้เอง แต่จะกลับกำเริบรุนแรงขึ้นอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะมีความเครียดหรือขณะตั้งครรภ์

ถ้าข้ออักเสบเรื้อรังอยู่หลายปี ข้ออาจจะแข็งและพิการได้

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายยังอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ภาวะโลหิตจาง ฝ่ามือแดง มีผื่นหรือตุ่มขึ้นตามผิวหนัง อาการปวดชาปลายมือจากภาวะเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น อาการนิ้วมือนิ้วเท้าซีดขาวและเปลี่ยนเป็นสีเขียวคล้ำเวลาถูกความเย็น (Raynaud’s phenomenon) ต่อมน้ำเหลืองโต ม้ามโต ตาอักเสบ หูอื้อ หูตึง หัวใจอักเสบ หลอดเลือดแดงอักเสบ ปอดอักเสบ ภาวะมีน้ำในโพรงเยื่อหุ้มปอด ไข้ต่ำ ๆ น้ำหนักลด เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าเป็นรุนแรงและเรื้อรังอาจทำให้ข้อพิการผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ บางรายอาจมีการผุกร่อนของกระดูก ในบ้านเราพบว่ามีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่อาจมีภาวะแทรกซ้อนดังกล่าว

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคนี้ยังอาจมีความเสี่ยงต่อการเป็นเส้นประสาทมือถูกพังผืดรัดแน่น (โรคคาร์พัลทูนเนล) โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มะเร็งต่อมน้ำเหลือง และโรคปอดเรื้อรัง (จากการอักเสบและกลายเป็นพังผืดของเนื้อเยื่อปอด)

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

ในระยะแรกอาจตรวจไม่พบอาการชัดเจน ในระยะที่เป็นมากอาจพบข้อนิ้วมือนิ้วเท้าบวมเหมือนรูปกระสวย

แพทย์จะทำการวินิจฉัยโดยการตรวจเลือดจะพบค่าอีเอสอาร์ (ESR)* และ c-reactive protein สูง และมักจะพบรูมาตอยด์แฟกเตอร์ (rheumatoid factor) และสารภูมิต้านทานที่มีชื่อว่า "Anti-cyclic citrullinated peptide (anti-CCP) antibodies"

การตรวจเอกซเรย์ข้อจะพบมีการสึกกร่อนของกระดูก และความผิดปกติของข้อ

นอกจากนี้ แพทย์อาจทำการตรวจอัลตราซาวนด์และถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินความรุนแรงของโรค

*อีเอสอาร์ (ESR) ย่อจาก erythrocyte sedimentation rate หมายถึง อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง ค่าปกติต่ำกว่า 20 มม. ใน 1 ชั่วโมง

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

เริ่มแรกจะให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (เช่น ไอบูโพรเฟน ไดโคลฟีแนก นาโพรเซน)

ยานี้ต้องกินติดต่อกันทุกวัน นานเป็นเดือน ๆ หรือปี ๆ จนกว่าอาการจะทุเลา

ขณะเดียวกันก็จะให้การรักษาทางกายภาพบำบัดร่วมไปด้วย เช่น การใช้น้ำร้อนประคบ การแช่หรืออาบน้ำอุ่น ซึ่งมักจะแนะนำให้ทำในตอนเช้านาน 15 นาที

ผู้ป่วยควรพยายามขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง จะช่วยลดอาการเจ็บปวดลงได้

แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยทำการฝึกกายบริหารในท่าต่าง ๆ ซึ่งควรทำเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ข้อทุเลาความฝืดและเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น

นอกจากนี้ผู้ป่วยควรหาเวลาพักผ่อน สลับกับการทำงาน หรือการออกกำลังกายเป็นพัก ๆ

ในรายที่เป็นรุนแรง อาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน และอาจต้องเข้าเฝือกเพื่อให้ข้อที่ปวดได้พักอย่างเต็มที่

ถ้าให้ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ไม่ได้ผล อาจต้องให้สเตียรอยด์ เพื่อลดการอักเสบ แต่จะให้กินเป็นระยะสั้น

นอกจากนี้ แพทย์จะพิจารณาให้ยากลุ่ม Disease-modifying antirheumatic drugs (DMARDs) ที่ช่วยชะลอความรุนแรงของโรค และป้องกันภาวะข้อถูกทำลาย เช่น ไฮดรอกซีคลอโรควีน (hydroxychloroquine), เมโทเทรกเซต (methotrexate), ซัลฟาซาลาซีน (sulfasalazine), ไซโคลสปอริน (cyclosporin), เลฟลูโนไมด์ (leflunomide) เป็นต้น ซึ่งมักจะได้ผลค่อนข้างดี และช่วยให้โรคมีระยะสงบ ไม่มีอาการ (remission) ไปได้

หากไม่ได้ผล แพทย์อาจให้ยาต้านการอักเสบกลุ่มใหม่ ๆ (เช่น etanercept, infliximab, rituximab, baricitinib, tofacitinib) ซึ่งมักให้ร่วมกับเมโทเทรกเซต (methotrexate)

ในรายที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล และข้อถูกทำลายผิดรูปผิดร่าง ใช้การไม่ได้ แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัดแก้ไข รวมทั้งการผ่าตัดเปลี่ยนข้อเทียม (joint replacement) เพื่อให้กลับมาใช้การได้

การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการปวดข้อและข้อแข็ง (ขยับลำบาก กำมือลำบาก) ซึ่งมักจะเป็นมากในช่วงตื่นนอนหรือตอนเช้า หรือมีอาการปวดข้อนิ้วมือทุกข้อพร้อมกันและคล้ายคลึงกันทั้ง 2 ข้าง  ข้อนิ้วมือบวมเหมือนรูปกระสวย หรือมีอาการอักเสบของข้อเพียง 1 ข้อ หรือไม่กี่ข้อ ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หมั่นบริหารข้อตามคำแนะนำของแพทย์ เช่น ขยับข้อต่าง ๆ อย่างช้า ๆ ท่าละ 10 ครั้ง ทำซ้ำทุก 1-2 ชั่วโมง, ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ, แช่หรืออาบน้ำอุ่น
    ลดน้ำหนักถ้ามีภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วน
    ออกกำลังกายที่ไม่รุนแรง เช่น การเดินเร็ว ว่ายน้ำ รำมวยจีน เป็นต้น
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ถ่ายอุจจาระดำ ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล เนื่องจากโรคนี้ยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด

ควรป้องกันไม่ให้โรคลุกลาม โดยการไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาแต่เนิ่น ๆ เมื่อสังเกตว่ามีอาการที่น่าสงสัย

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้มีระยะสงบ (ไม่มีอาการ) และอาการข้ออักเสบกำเริบสลับกันไป ส่วนน้อยที่อาจหายขาด และส่วนน้อยที่จะเป็นรุนแรงเกิดข้อพิการในเวลารวดเร็ว ผู้ป่วยควรติดตามการรักษากับแพทย์อย่างต่อเนื่อง การใช้ยา การรักษาทางกายภาพบำบัด การกำหนดเวลาพักผ่อน ทำงาน และออกกำลังกายให้พอเหมาะ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถทำงานได้เป็นปกติส่วนใหญ่

2. หัวใจของการรักษาโรคอยู่ที่การปฏิบัติตัวของผู้ป่วยเป็นสำคัญ กล่าวคือ จะต้องพยายามเคลื่อนไหวข้อและฝึกกายบริหารเป็นประจำทุกวัน อย่าอยู่นิ่ง ๆ เพราะยิ่งอยู่นิ่งข้อยิ่งฝืดแข็ง และขยับยากยิ่งขึ้น

3. ผู้ป่วยไม่ควรซื้อยาชุดกินเอง เพราะถึงแม้จะช่วยให้อาการทุเลาได้ แต่ก็อาจเกิดโทษจากยาสเตียรอยด์ หรือยาอันตรายอื่น ๆ ที่ผสมอยู่ในยาชุด

4. เนื่องจากยาที่ใช้รักษาโรคนี้ส่วนใหญ่มีผลข้างเคียงในลักษณะต่าง ๆ กัน ผู้ป่วยควรขอคำแนะนำจากแพทย์หรือเภสัชกรเกี่ยวกับการใช้ยาและผลข้างเคียงของยาที่ใช้ หากมีอาการที่สงสัยว่าเกิดจากผลข้างเคียง (เช่น ปวดแสบ ปวดจุกแน่นท้อง ถ่ายอุจจาระดำ เป็นไข้ หรือเป็นโรคติดเชื้อบ่อย) เป็นต้น ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด

5. ชาวบ้านอาจมีความสับสนในคำศัพท์ต่าง ๆ ที่ใช้เรียกเกี่ยวกับอาการปวดข้อ เช่น คำว่า รูมาติสซั่ม (rheumatism) ซึ่งหมายถึงภาวะต่าง ๆ ที่ทำให้มีอาการเจ็บปวด ปวดเมื่อย หรือปวดล้าของข้อ เส้นเอ็นหรือกล้ามเนื้อ ดังนั้นจึงเป็นคำที่ใช้เรียกอาการปวดข้อ ปวดเส้นเอ็นและปวดเมื่อยกล้ามเนื้อโดยรวม ๆ ซึ่งสามารถแบ่งแยกสาเหตุได้มากมาย (ตรวจอาการปวดข้อ) ดังนั้น รูมาติสซั่ม (โรคปวดข้อ) จึงอาจมีสาเหตุจากข้อเสื่อม โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ไข้รูมาติก โรคเกาต์ และอื่น ๆ ไม่ได้หมายถึงโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์โดยเฉพาะ

24
จัดฟันบางนา: ฟันตาย สัญญาณอันตรายของช่องปากที่ไม่ควรมองข้าม

ฟัน เป็นอวัยวะหนึ่งภายในช่องปากของเรา ที่มีเส้นเลือดและเส้นประสาทมาหล่อเลี้ยง โดยเส้นประสาทจะทำหน้าที่รับความรู้สึก เสียวฟัน เจ็บฟัน เส้นเลือดจะนำอาหารมาเลี้ยงฟัน หากเกิดอันตรายกระทบกระแทกกับฟัน หรือมีฟันผุถึงโพรงประสาทฟัน ฟันอาจเกิดการกระทบกระเทือนจนเซลล์ต่างๆ สูญเสียการทำหน้าที่ไปในภาษาทั่วไป เรียก ฟันตาย ซึ่งอาการฟันตายนั้น หลายคนอาจจะยังไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่อาการฟันตายนั้น ถือเป็นสัญญาณอันตรายต่อช่องปากมากที่เราไม่ควรมองข้าม โยอาการฟันตายนั้นจะมีอาการที่สักเกตได้คือ ฟันเปลี่ยนสี มีสีที่คล้ำขึ้น มีตุ่มหนองที่เหงือก เหงือกบวมหรือกดเจ็บบริเวณปลายรากฟัน มีอาการบดเคี้ยวแล้วรู้สึกเจ็บ ซึ่งเกิดจากอาการอักเสบรอบปลายรากฟัน และถ้าหากเราเคยมีอาการเสียวฟันมากๆ เมื่อมีสิ่งกระตุ้น เช่น ดื่มน้ำร้อนหรือน้ำเย็น แต่อยู่ๆ ก็ไม่รู้สึก อาจเป็นสัญญาณของฟันตายได้ โดยการรักษาอาการฟันตายอาจจะทำได้ด้วยการรักษารากฟัน หรือบางรายอาจจะต้องเข้ารับการถอนฟัน กรณีที่ฟันซี่นั้นไม่สามารถบูรณะได้ หรือเข้ารับการรักษามีความต้องการที่ถอนฟันซี่นั้น

โดยสาเหตุของการเกิดอาการฟันตายนั้น เกิดได้จาดหลายสาเหตุ แน่นอนว่าสาเหตุแรกและมักพบได้บ่อยเลยก็คือ ฟันผุ จนถึงโพรงประสาทฟันและไม่ได้รับการรักษาทำให้ แบคทีเรียสามารถเข้าไปทำอันตรายต่อเส้นเลือดและเส้นประสาทฟันจนเน่าทำให้ฟันตายได้ หรือฟันอาจจะถูกกระทบกระแทกอย่างแรงจากอุบัติเหตุ แรงที่กระแทกที่ฟันอย่างทันทีและอย่างแรง จะส่งผลให้โพรงประสาทฟันอาจช้ำจนฟันตายได้นั่นเอง นอกจากนี้ การใช้ฟันผิดประเภท โดยปกติการบดเคี้ยวอาหารธรรมดาทั่วๆ ไปก็ไม่มีปัญหาแต่บางท่านใช้ฟันในการกัดของแข็งมากๆ เช่น ใช้ฟันเปิดฝาขวดเบียร์ กัดเปลือกผลไม้แข็งๆ ใช้ฟันกัดเปลือกปู

ซึ่งการกระทำดังกล่าวนั้น ทำให้มีโอกาสทำให้ฟันแตกร้าว ทำให้ฟันตายได้ และอาจจะเกิดจากปัญหาฟันที่มีการสบฟันผิดปกติ เช่น ฟันล้ม ฟันเก เวลาสบฟันมีจุดสูงทำให้ฟันกระแทกบริเวณจุดเดิมเป็นประจำ ฟันซี่นั้นได้รับความกระทบกระเทือนอย่างต่อเนื่อง จนมีการเสื่อมสลายของเส้นเลือดและเส้นประสาท ก็ทำให้ฟันตายได้นั่นเอง เพราะฉะนั้น ถ้าหากเรามีความเสี่ยงหรือสังเกตอาการที่กล่าวมาข้างต้น หรือมีสาเหตุที่เสี่ยงต่อการเกิดฟันได้ก็ควรที่เข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการรักษา เพราะถ้าหากปล่อยไว้ และละเลยสุขภาพช่องปากและฟันของเราแล้ว อาจจะทำให้เกิดปัญหาบริเวณฟันข้างเคียงได้

สำหรับวิธีการรักษาอาการฟันตายนั้น มีความจำเป็นจะต้องเข้ารับการรักษารากฟันหรือไม่ให้ฟันซี่นั้นเป็นแหล่งแพร่เชื้อ เพื่อเก็บฟันซี่นั้นให้ใช้บดเคี้ยวอาหารต่อไปได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดผลข้างเคียงต่อกระดูกรองรับรากฟันและฟันซี่ข้างเคียง แต่ในกรณีที่เกิดอุบัติเหตุโดยทำให้ฟันได้รับการกระทบกระแทกอย่างรุนแรง ควรให้ทันตแพทย์ตรวจ X-RAY และวินิจฉัย ตั้งแต่เนิ่นๆ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของปัญหาที่จะลุกลามทำให้เกิดปัญหาอื่นๆตามมา และที่สำคัญมากที่สุดคือ เราควรหมั่นดูแล เอาใจใส่ในเรื่องของความสะอาดและสุขอนามัยในช่องปากและฟันให้ดี อย่าให้มีเชื้อโรคสะสมด้วยการแปรงฟันให้สะอาด ใช้ไหมขัดฟันและอมน้ำยาบ้วนปากเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม ทางคลินิกอยากให้ทุกคนหันมาดูแลและเอาใจใส่ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและหันที่ดี เพราะการที่เรามีสุขภาพฟันที่ดี เป็นปัจจัยสำคัญของการที่เราจะมีบุคลิกภาพที่ดี ทำให้เรารู้สึกมั่นใจในการเข้าสังคม พบปะผู้คน และยังทำให้เป็นที่น่าประทับใจอีกด้วย หากใครมีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟัน สามารถขอรับคำแนะนำจากทางคลินิกได้ ทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านของการทันตกรรม มีบริการเกี่ยวกับทันตกรรมอย่างครบวงจร ช่วยให้คุณมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้อย่างแน่นอน สามารถทำให้คุณได้ใช้ชีวิตประจำวันอย่างเต็มที่

25
ทำบุญไหว้พระตราด 9 วัด ในเมือง พิกัดขอพรเสริมสิริมงคลให้ชีวิตดี

ไหว้พระตราด แนะนำสถานที่ไหว้พระ 9 วัด ตราด ในอำเภอเมือง ไปขอพรเสริมสิริมงคลและเสริมดวงให้ชีวิตดีกัน
ตราด เจ้าของคำขวัญ “เมืองเกาะครึ่งร้อย พลอยแดงค่าล้ำ ระกำแสนหวาน หลังอานหมาดี ยุทธนาวีเกาะช้าง สุดทางบูรพา” เป็นจังหวัดที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวหลากหลาย รวมถึงมีวัดวาอารามและสถานที่ศักดิ์สิทธิ์มากมายให้ไปสักการะขอพรเสริมสิริมงคล วันนี้เราเลยจะมาแนะนำ สถานที่ไหว้พระตราด มีทั้งวัดเก่าแก่ พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง และศาลเจ้าเลื่องชื่อ แต่จะมีที่ไหนบ้างนั้นไปชมกัน

1. ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองตราด

           ศาลหลักเมือง ที่ตั้งอยู่บนถนนหลักเมือง ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด ไม่ไกลจากวัดโยธานิมิตและอ่างเก็บน้ำสระสีเสียด (เขาระกำตอนล่าง) เป็นศาลหลักเมืองที่สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมจีนโบราณ ลักษณะทรงสิงห์คล้ายพระราชวัง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นพร้อมกับวัดโยธานิมิต เมื่อครั้งที่สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยังเป็นพระยาวชิรปราการ เดินทางมารวบรวมไพร่พลเพื่อกู้ชาติที่เมืองตราด ภายในแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ แท่นที่ประทับขององค์เจ้าพ่อหลักเมือง องค์เทพเจ้ากำเที่ยงไต้ตี่ และเทพเจ้าไฉ่ซิงเอี้ย ส่วนด้านหน้าอาคารจะเป็นที่ตั้งของเสาหลักเมืองและเสาศิวลึงค์ ในวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 6 ของทุกปี จะมีวันงานพลีเมือง (วันเซี่ยกงแซยิด) หมายถึงวันเกิดของเจ้าพ่อหลักเมือง

2. วัดโยธานิมิต

           พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย หรือที่เรียกกันว่า วัดโบสถ์ วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่ในตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างเมื่อใด แต่เล่ากันว่าสร้างขึ้นเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชรวบรวมไพร่พลที่เมืองตราด และเสร็จสมบูรณ์ในสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ภายในวัดมีพระอุโบสถศิลปะแบบอยุธยา มีภาพจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องพระเวสสันดรชาดก ปัจจุบันกลายเป็นพระวิหาร เรียกว่า วิหารโยธานิมิต และเป็นที่เก็บโบราณวัตถุ เช่น หนังสือใบลาน คัมภีร์เทศน์ และรอยพระพุทธบาท อีกทั้งยังมีศาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชให้ได้สักการะกันด้วย

3. วัดไผ่ล้อม

           วัดไผ่ล้อม วัดสำคัญในจังหวัดตราด ตั้งอยู่บนถนนหลักเมือง ตำบลบางพระ อำเภอเมืองตราด เพราะเคยเป็นที่พำนักของ พระวิมลเมธาจารย์วรญาณคณานุรักษ์ สังฆโมกข์ (เจ้ง จนฺทสโร) อดีตเจ้าอาวาสวัดไผ่ล้อม บิดาแห่งการศึกษาจังหวัดตราด สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2326 (ตามหนังสือรับรองสภาพวัดของกรมการศาสนา) แต่ไม่มีปรากฏหลักฐานว่าใครเป็นผู้สร้าง ภายในบรรยากาศสงบ ร่มรื่น มีเจดีย์พิพิธภัณฑ์สามท่านเจ้าคุณ และสวนพุทธธรรมที่เปิดให้ประชาชนทั่วไปได้ใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรม

4. วัดคีรีวิหาร

           พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เป็นวัดเก่าแก่อายุกว่าร้อยปี ตั้งอยู่ที่บ้านท่าเลื่อน ตำบลตะกาง อำเภอเมืองตราด เดิมชื่อว่า วัดท่าเลื่อน หรือ วัดภูเขายวน ในทำเลซึ่งมองเห็นวิวทิวทัศน์ของป่าเขาและท้องทะเล อาณาบริเวณวัดมีความสงบ ร่มรื่นด้วยสวนป่าสักที่ปลูกเรียงรายเป็นระเบียบ ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจไม่ว่าจะเป็นพระอุโบสถหลังใหญ่, พระเจดีย์, วิหารจีนอันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธอุดมสมบูรณ์ พระอวโลกิเตศวร พระสังกัจจายน์ และเรือนรับรองสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เป็นต้น

5. วัดบุปผาราม

           วัดบุปผาราม หรือ วัดปลายคลอง ตั้งอยู่ที่บ้านปลายคลอง ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด วัดเก่าแก่ที่สุดของจังหวัดตราด สร้างขึ้นมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ราวรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง (พ.ศ. 2191) ต่อมาภายหลังท่านพระครูคุณสารพิสุทธิ์ (หลวงพ่อโห) อดีตเจ้าอาวาสในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้บูรณปฏิสังขรณ์เสนาสนะถาวรวัตถุในวัดจนมาถึงปัจจุบัน ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจ เช่น พระอุโบสถที่ประดิษฐาน หลวงพ่อโต พระประธานปางมารวิชัย ทำจากทรายแดงฉาบปูน พระนขา (เล็บมือ) จะเป็นสีขาวขุ่นเหมือนเล็บมือจริง ๆ, พิพิธภัณฑ์วัดบุปผาราม แหล่งรวบรวมโบราณวัตถุอันทรงคุณค่า โดยเฉพาะพระบรมสารีริกธาตุ รวมทั้งภาพจิตรกรรมฝาผนังเก่าแก่ภายในพระอุโบสถและวิหารพระพุทธไสยาสน์ เป็นต้น

6. วัดศรีบูรพาราม

          วัดศรีบูรพาราม หรือที่เรียกว่า วัดเกาะตะเคียน ตั้งอยู่ที่บ้านเกาะตะเคียน ตำบลวังกระแจะ อำเภอเมืองตราด ไม่ไกลจากฝูงบิน 306 กองทัพอากาศ ผู้คนมักไปกราบไหว้ พระครูสังฆกิจบูรพา หรือ หลวงปู่บัว ถามโก หรือ พระอาจารย์บัว เจ้าอาวาสวัดศรีบูรพาราม พระผู้มีวัตรปฏิบัติงดงามแห่งเมืองตราด และยังนิยมบูชา น้ำมันงา หลวงปู่บัว เพราะเชื่อกันว่ามีพุทธคุณด้านเมตตามหานิยม แคล้วคลาด อยู่ยงคงกระพัน นอกจากนี้ยังไม่ควรพลาดไปสักการะท้าวเวสสุวรรณองค์สีขาวงามสง่า และชมมหาเจดีย์ศรีบูรพาด้วย

7. พระพุทธสิริภูวดลมงคลชัย

           พระพุทธสิริภูวดลมงคลชัย หรือ พระจมน้ำ 1 ใน 25 UNSEEN New Series ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นพระพุทธรูปสูงกว่า 5 เมตร จมอยู่ในน้ำกลางอ่างเก็บน้ำเขาระกำ โดยในอดีตจุดที่ตั้งของพระพุทธรูปเคยเป็นที่ตั้งของสำนักสงฆ์เขาระกำ ตำบลหนองโสน อำเภอเมืองตราด ก่อนจะมีการสร้างพื้นที่อ่างเก็บน้ำเพิ่มจนทำให้น้ำท่วมถึง กลายเป็นจุดที่ชาวบ้านเรียกว่า "พระจมน้ำ" อย่างในปัจจุบัน ทั้งนี้ ยามน้ำลดจะเห็นองค์พระเต็มองค์ สามารถเดินลงไปสักการะขอพรใกล้ ๆ ได้
พระจมน้ำ

8. วัดสุวรรณมงคล

           วัดสุวรรณมงคล ตั้งอยู่ที่ตำบลหนองเสม็ด อำเภอเมืองตราด ไม่ไกลจากที่ว่าการอำเภอเมืองตราด สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2351 เป็นวัดเก่าแก่คู่ชุมชนบ้านท่าตะเภามาอย่างยาวนาน สถานที่ประดิษฐาน พระพุทธสุวรรณมงคล (หลวงพ่อทอง) พระพุทธรูปนั่ง ปางมารวิชัย ศิลปะในสมัยพระเจ้าอู่ทอง สร้างด้วยเนื้อโลหะ ขนาดหน้าตักกว้าง 4 ศอก สูง 6 ศอก โดยสมเด็จเจ้านวลซึ่งเป็นญาติกับพระอุปัชฌาย์ เจ้าอาวาสในสมัยนั้น เป็นผู้อัญเชิญมาจากวัดสังข์กระจาย ธนบุรี มาทางเรือสำเภา เข้าคลองท่าตะเภา และจะชักพระขึ้นที่หน้าวัด โดยทำอย่างไรพระพุทธรูปก็ไม่เคลื่อนที่ ต่อมามีอุบาสกเฒ่านุ่งขาวห่มขาวมาบอกให้หาละครรำนำหน้า (ละครชาตรี) แล้วให้ชาวบ้านช่วยกันชักพระขึ้น ปรากฏว่าเป็นไปอย่างง่ายดาย ชาวบ้านจึงได้อัญเชิญเป็นพระประธานในพระอุโบสถจนถึงปัจจุบัน และบริเวณผนังพระอุโบสถยังมีภาพวาดพุทธประวัติให้ชมกันด้วย

9. วัดลำดวน

          วัดเก่าแก่ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่สูง บริเวณถนนตราด-แหลมงอบ ตำบลหนองเสม็ด อำเภอเมืองตราด สร้างในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยมีร่องรอยของประวัติศาสตร์จาก เจดีย์ศรีบูรพา เจดีย์โบราณขนาดใหญ่ ซึ่งกรมศิลปากรตรวจพิสูจน์พบว่ามีอายุมากกว่า 300 ปี นอกจากนี้ยังมีเจดีย์บริวารอีก 4 องค์ และพระพุทธรูปปางสมาธิ 2 องค์ ลักษณะคล้ายพระพุทธรูปในศิลปะลังกา จากหลักฐานทางโบราณคดียังพบว่าเป็นที่ตั้งทัพของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อรวบรวมฝึกปรือกำลังพลกลับไปตีพม่ากู้กรุงศรีอยุธยากลับคืน ซึ่งหากไปยืนบนลานที่ตั้งเจดีย์จะมองเห็นเมืองตราดกว้างสุดสายตาอีกด้วย

26
เช็ก! เรื่องต้องเข้าใจก่อนรีไฟแนนซ์บ้าน

รีไฟแนนซ์บ้านเป็นวิธีขอลดดอกเบี้ย ลดภาระการผ่อนที่คนซื้อบ้านซื้อคอนโดทราบดีอยู่แล้วนะคะ แต่ว่าหากมีแผนจะรีไฟแนนซ์บ้านก็ไม่ใช่ว่าจะทำตอนไหนก็ได้นะคะ เช่น สัญญาส่วนใหญ่มักกำหนดว่ารีไฟแนนซ์บ้านได้เมื่อผ่อนชำระ 3 ปีขึ้นไป ทำก่อนจะมีค่าปรับ เป็นต้น ใครที่ผ่อนบ้านมานานแล้ว และอยากรีไฟแนนซ์บ้าน เพื่อลดดอกเบี้ย จะได้ตัดเงินต้นมากขึ้น วันนี้ไปเช็กเบื้องต้นกันทีละข้อแบบง่ายๆ ค่ะ ว่าหากคิดรีไฟแนนซ์บ้าน จะเริ่มยังไงดี

✅ 1. รีไฟแนนซ์บ้านทำได้ทุก 3 ปี แต่ไม่ได้หมายความว่าต้องทำทุกๆ 3 ปี
อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่า รีไฟแนนซ์สามารถทำได้เมื่อผ่อนชำระตั้งแต่ 3 ปีขึ้นไปนะคะ อย่าลืมดูจังหวะดอกเบี้ยว่าอยู่ในช่วงขาขึ้นหรือขา และความเหมาะสมอื่นๆ ประกอบด้วยนะคะ แต่หากต้องการรีไฟแนนซ์ก่อนสัญญาที่กำหนด ต้องเสียค่าปรับประมาณ 3% ของยอดหนี้คงเหลือ

 ✅ 2. เช็กยอดคงเหลือว่ารีไฟแนนซ์บ้านได้หรือไม่
ส่วนใหญ่แล้วหากยอดคงเหลือมากกว่า 1 ล้านบาท ก็แนะนำให้รีไฟแนนซ์บ้านนะคะ แต่ถ้าหากยอดเหลือน้อยแล้ว ลองขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดิมน่าจะช่วยประหยัดเวลา ไม่ต้องวุ่นวายกับการเตรียมเอกสาร

 ✅ 3. รีไฟแนนซ์บ้านไม่ได้ทำให้ดอกเบี้ยหายไป
รีไฟแนนซ์คือการกู้สินเชื่อใหม่ ในอัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ถูกลง เพื่อช่วยลดภาระในระยะยาว

 ✅ 4. รีไฟแนนซ์บ้านไม่ใช่การพักชำระหนี้
หลังจากรีไฟแนนซ์บ้าน ก็ยังผ่อนชำระตามปกตินะคะ และต้องผ่อนชำระคืนให้ตรงตามเวลาเหมือนเดิม

 ✅ 5. ค่าใช้จ่ายในการรีไฟแนนซ์บ้าน
อย่างที่ทราบกันนะคะว่ารีไฟแนนซ์บ้านคือการขอสินเชื่อใหม่ กับสถาบันการเงินแห่งใหม่ ดังนั้นก็จะมีค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ต้องเสีย เช่น ค่าประเมินราคาสินทรัพย์, ค่าจดจำนอง ค่าภาษี, ค่าอากรแสตมป์ เป็นต้น

 สรุปแล้ว ก่อนรีไฟแนนซ์บ้านต้องหาข้อมูลต่างๆ ให้ดีนะคะ ไม่ใช่แค่เรื่องดอกเบี้ย แต่การรีไฟแนนซ์ยังมีเงื่อนไขและค่าใช้จ่ายต่างๆ ไม่น้อยเลย สำหรับใครที่ไม่อยากวุ่นวายเรื่องเอกสารก็สามารถใช้วิธีขอลดดอกเบี้ยจากธนาคารเดิม หรือ รีเทนชั่น ได้เช่นกันค่ะ แต่อัตราดอกเบี้ยใหม่ที่ได้รับอาจไม่ถูกลงมากเหมือนกับรีไฟแนนซ์ ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่ความสะดวกของตัวผู้กู้อย่างเรานะคะ

27
Doctor At Home: ท่อน้ำตาอุดตัน (Nasolacrimal duct obstruction) - ถุงน้ำตาอักเสบ (Dacryocystitis)

ท่อน้ำตาเป็นส่วนหนึ่งของระบบน้ำตา* บางครั้งอาจมีเหตุทำให้ท่อน้ำตาอุดตัน มีน้ำตาเอ่อคลอเบ้าตา

ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในบ้านเรา พบมากในทารก และผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย

มักเป็นที่ตาเพียงข้างเดียว แต่ก็อาจเป็นทั้ง 2 ข้างก็ได้

เมื่อท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ ก็จะมีเชื้อโรคเข้าไป เกิดการติดเชื้อในถุงน้ำตา กลายเป็น ถุงน้ำตาอักเสบ

*ระบบน้ำตา (lacrimal system) ประกอบด้วยต่อมน้ำตา (lacrimal gland) ที่อยู่ใต้เปลือกตาบน ทำหน้าที่ผลิตน้ำตาออกมาหล่อลื่นและทำความสะอาดผิวหน้าของตา (ได้แก่ เยื่อบุตาและกระจกตา) น้ำตาที่ออกมาที่ตามีการไหลเวียน เปิดโอกาสให้มีน้ำตาใหม่เข้ามาแทนที่น้ำตาเก่า  โดยน้ำตาเก่าจะไหลลงรูเปิดของทางเดินน้ำตา (lacrimal punctum ซึ่งเป็นรูเล็ก ๆ เปิดอยู่ที่ขอบเปลือกตาบนและล่างตรงมุมหัวตา) ผ่านคลองน้ำตา (lacrimal canal) ลงมาที่ถุงน้ำตา (lacrimal sac ซึ่งอยู่ตรงหัวตาข้างสันจมูก) และท่อน้ำตา (nasolacrimal duct ซึ่งทอดลงมาตามผนังด้านข้างของจมูก) ในที่สุดน้ำตาก็จะระบายลงโพรงจมูกด้านล่าง (Inferior nasal meatus)


สาเหตุ

ท่อน้ำตาอุดตัน ในทารกอาจเกิดจากท่อน้ำตายังเปิดไม่ค่อยสมบูรณ์ หรือเกิดจากมีเยื่อเมือกและเซลล์ที่อยู่ในน้ำคร่ำขณะที่อยู่ในครรภ์มารดาเข้าไปอุดตันอยู่ภายในท่อน้ำตา หรือเกิดจากเยื่อตาขาวอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรียขณะคลอด ทำให้มีขี้ตาลงไปอุด

ในผู้ใหญ่ การอุดกั้นของท่อน้ำตาอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ เช่น รูเปิดของท่อน้ำตาตีบแคบลงจากความเสื่อมตามอายุขัยที่มากขึ้น, การได้รับบาดเจ็บตรงกระดูกข้างจมูก, เยื่อตาขาวอักเสบเรื้อรัง, ไซนัสอักเสบเรื้อรัง, ติ่งเนื้อเมือกจมูก (nasal polyps), สิ่งแปลกปลอมในท่อน้ำตา, เนื้องอกหรือมะเร็งในบริเวณจมูก, การผ่าตัดตา จมูกหรือไซนัส,  การใช้ยาหยอดตารักษาโรคต้อหิน, การได้รับรังสีบำบัดบริเวณศีรษะหรือใบหน้าเป็นต้น บางรายอาจเกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ

ถุงน้ำตาอักเสบ เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น สแตฟีโลค็อกคัส, สเตรปโตค็อกคัส, ฮีโมฟิลุสอินฟลูเอนเซ) ซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนจากท่อน้ำตาอุดตันนาน ๆ


อาการ

ท่อน้ำตาอุดตัน มีอาการน้ำตาไหลมาก จนเอ่อคลอเบ้าตาข้างใดข้างหนึ่งอยู่ตลอดเวลา โดยไม่เกี่ยวกับการร้องไห้ หรือมีเรื่องเศร้าโศกเสียใจ ต้องคอยเช็ดน้ำตาบ่อย ๆ

ในทารกจะสังเกตว่ามีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นมาตั้งแต่เกิด และบางครั้งมีขี้ตาออกมาเป็นครั้งคราว

ถุงน้ำตาอักเสบ ในรายที่เป็นชนิดเฉียบพลัน จะมีไข้ มีตุ่มนูนตรงหัวตา เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา แล้วตุ่มนูนก็ยุบลง แต่ต่อมาก็กลับนูนขึ้นเช่นเดิมอีก ถ้าเป็นรุนแรงตุ่มนูนนั้นจะมีอาการปวดแดงร้อนคล้ายฝี ซึ่งอาจแตก มีน้ำตาและหนองไหลออกมา


ภาวะแทรกซ้อน

ท่อน้ำตาอุดตัน ทำให้มีน้ำตาค้างและหมักหมมอยู่ที่ระบบน้ำตา กลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรค อาจทำให้เกิดเยื่อตาอักเสบ และถุงน้ำตาอักเสบ

ถุงน้ำตาอักเสบ หากได้รับการรักษา มักไม่มีภาวะแทรกซ้อน หากไม่ได้รับการรักษาตั้งแต่แรก อาจกลายเป็นถุงน้ำตาอักเสบเรื้อรัง (จะมีอาการน้ำตาและหนองไหลออกมาเรื้อรัง โดยไม่มีไข้ และไม่พบตุ่มนูนชัดเจน)

ในผู้ป่วยที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น ผู้ป่วยเบาหวาน ผู้สูงอายู) และในทารกที่เป็นถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน (congenital acute dacryocystitis) อาจมีภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากเชื้อโรคลุกลามเข้าไปที่ตา ทำให้เยื่อตาขาวอักเสบ แผลกระจกตา เบ้าตาอักเสบ (orbital cellulitis ซึ่งอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงได้) นอกจากนี้ เชื้ออาจเข้ากระแสเลือด ทำให้เกิดฝีในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โลหิตเป็นพิษ ซึ่งเป็นภาวะที่ร้ายแรง


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ และการตรวจเพิ่มเติมดังนี้

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน การใช้นิ้วกดตรงหัวตาข้างสันจมูก จะพบว่ามีน้ำตาที่เป็นเมือกทะลักออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

  บางรายแพทย์จะใช้วิธีการหยอดน้ำสีเหลืองส้ม (ซึ่งเป็นสีเรืองแสง - fluorescein dye ที่ใช้ในการตรวจตา ไม่มีอันตราย) หยอดลงไปในตา ถ้าสีเหลืองระบายหายไปใน 2-3 นาที แสดงว่าท่อน้ำตาไม่มีการอุดตัน แต่ถ้าสีเหลืองยังคงค้างอยู่ที่ตา ก็บ่งชี้ว่าท่อน้ำตาข้างนั้นน่าจะมีการอุดตัน (วิธีนี้เรียกว่า "Dye disappearance test")

ในผู้ใหญ่บางราย แพทย์อาจทดสอบโดยการใช้เข็มเล็ก (ปลายตัดไม่คม) แยงลงไปทางรูเปิดของท่อน้ำตา แล้วใช้น้ำเกลือฉีดลงไป ถ้าผู้ป่วยรู้สึกถึงน้ำเกลือเค็ม ๆ ไหลลงคอ แสดงว่าท่อน้ำตาเป็นปกติ แต่ถ้าผู้ป่วยมีท่อน้ำตาอุดตัน น้ำตาจะไหลเอ่อล้นกลับออกมาทางรูเปิดของท่อน้ำตา

ในกรณีที่จำเป็น แพทย์อาจทำการถ่ายภาพระบบทางเดินน้ำตาด้วยเอกซเรย์หรือคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าโดยการฉีดสารทึบแสง เพื่อตรวจดูตำแหน่งที่อุดตัน

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบเฉียบพลัน จะตรวจพบตุ่มนูน ปวด แดง ร้อนที่หัวตา และอาจตรวจพบว่ามีไข้ร่วมด้วย เมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา บางรายแพทย์อาจนำหนองไปตรวจหาเชื้อ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

สำหรับเด็กเล็กที่เป็นโรคท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์มักจะแนะนำให้เฝ้าสังเกตอาการ (ซึ่งในทารกมักจะหายได้เองเมื่อท่อน้ำตาเจริญเต็มที่เมื่ออายุได้ 2-3 เดือน) หรือแนะนำให้พ่อแม่ทำการนวดบริเวณหัวตา (ตรงตำแหน่งของท่อน้ำตาที่อุดตัน) ซึ่งจะช่วยดันให้แผ่นพังผืดบาง ๆ ที่ขวางลิ้นเปิดปิดในท่อน้ำตาเปิดออก ประมาณร้อยละ 70-90 จะหายเป็นปกติได้เองภายใน 1 ปีถึง 1 ปีครึ่ง

  ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ โดยตรวจพบมีขี้ตาเหลือง ๆ เขียว ๆ แพทย์จะให้ยาป้ายตาหรือยาหยอดตาที่มีตัวยาปฏิชีวนะร่วมด้วย

นอกจากนี้ แพทย์อาจให้การรักษาด้วยการถ่างท่อน้ำตาด้วยการใช้อุปกรณ์แยงท่อน้ำตา หรือใส่ท่อที่มีบัลลูนตอนปลายแยงเข้าท่อน้ำตาแล้วเป่าบัลลูนให้ท่อน้ำตาขยาย หรือการใส่ท่อเล็ก ๆ (ที่ทำด้วยซิลิโคนหรือโพลิยูลีเทน) คาไว้ในท่อน้ำตานาน 3 เดือน เพื่อถ่างให้ท่อน้ำตาขยาย

หากไม่ได้ผล ก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่ (dacryocystorhinostomy)

สำหรับผู้ใหญ่ที่มีท่อน้ำตาอุดตัน แพทย์จะรักษาด้วยการล้างท่อน้ำตา หากไม่ได้ผลก็จะทำการถ่างท่อน้ำตาด้วยเทคนิคต่าง ๆ หากไม่ได้ผลก็จำเป็นต้องผ่าตัดทำท่อระบายน้ำตาขึ้นใหม่

และถ้าพบว่ามีสาเหตุชัดเจน ก็ให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ เช่น รักษาโรคไซนัสอักเสบเรื้อรังผ่าตัดเอาเนื้องอกออกไป

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ (ตุ่มฝีขึ้นที่หัวตา) ใช้น้ำอุ่นจัด ๆ ประคบ ให้ยาแก้ปวดและยาป้ายตาหรือยาหยอดตาปฏิชีวนะ ถ้าอักเสบรุนแรงให้ยาปฏิชีวนะ (เช่น ไดคล็อกซาซิลลิน, โคอะม็อกซิคลาฟ, อีริโทรไมซิน) สัก 5-7 วัน ถ้าไม่ยุบหรือกลับเป็นซ้ำอีก แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ และทำการแก้ไขภาวะท่อน้ำตาอุดตัน


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีน้ำตาไหลมากข้างหนึ่ง มีอาการน้ำเอ่อคลอเบ้าตา มีตุ่มนูนตรงหัวตาซึ่งเมื่อใช้นิ้วกดตรงหัวตาจะมีหนองไหลออกมาในตา ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นท่อน้ำตาอุดตัน หรือถุงน้ำตาอักเสบ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    มีน้ำตาไหลมากขึ้น มีไข้สูง ถุงน้ำตาอักเสบบวมแดงมากขึ้น หรือเยื่อตาขาวอักเสบ (ตาแดง ตาแฉะ)
    ขาดยา ยาหาย หรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

สำหรับท่อน้ำตาอุดตัน ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผล โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก

ส่วนในผู้ใหญ่อาจลดความเสี่ยงของการเกิดท่อน้ำตาอุดตันลงได้ ด้วยการป้องกันโรคเยื่อตาขาวอักเสบ (หมั่นล้างมือให้สะอาด อย่าเผลอขยี้ตา เป็นต้น) และรักษาโรคที่เป็นสาเหตุ (เช่น เยื่อตาขาวอักเสบ ไซนัสอักเสบ ติ่งเนื้อเมือกจมูก เป็นต้น)

สำหรับถุงน้ำตาอักเสบ สามารถป้องกันด้วยการรักษาท่อน้ำตาอุดตันให้หายขาด


ข้อแนะนำ

ผู้ที่มีน้ำตาไหลผิดปกติ นอกจากท่อน้ำตาอุดตันแล้วยังอาจเกิดจากขนตาเก* ควรซักถามอาการ และตรวจดูให้แน่ชัด แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีสาเหตุจากอะไร ก็ควรแนะนำผู้ป่วยไปปรึกษาแพทย์ทุกราย

 *ขนตาเก (trichiasis) ซึ่งหมายถึงอาการขนตาแยงเข้าด้านในนั้น ยังอาจเกิดจากการติดเชื้องูสวัด กลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน การถูกสารเคมีหรือความร้อนที่เปลือกตา การบาดเจ็บ หรือการผ่าตัดเปลือกตา ควรแก้ไขด้วยการถอนขนตา หรือใช้ไฟฟ้าหรือความเย็นจี้ หรือฉายรังสี

28
รู้จักกับฉนวน Nano Aerogel ฉนวนกันความร้อน

ฉนวนนาโนแอโรเจล เป็นวัสดุฉนวนขั้นสูงที่ผลิตจากแอโรเจลซึ่งมีโครงสร้างระดับนาโน ซึ่งถูกค้นพบและใช้งานแพร่หลายตั้งแต่ยุค 1990 แอโรเจลเป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบามาก ได้มาจากเจลโดยที่ของเหลวภายในถูกแทนที่ด้วยก๊าซ CO2 ส่งผลให้เกิดวัสดุที่เป็นของแข็งซึ่งมีน้ำหนักเบามากและมีรูพรุนสูง นาโนแอโรเจลมีลักษณะเด่นคือมีรูพรุนและโครงสร้างในระดับเล็กมากขนาดนาโน ทำให้เป็นวัสดุฉนวนที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นนวัตกรรมของฉนวนที่มีประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนที่ไม่เหมือนฉนวนทั่วไป มีน้ำหนักเบา และมีความหลากหลาย และเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้งานที่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับความหนาหรือน้ำหนักของฉนวนกันความร้อน ในช่วงอุณหภูมิ -200 องศาเซลเซียส ถึง 1000 องศาเซลเซียส เช่น ในอุตสาหกรรมการบิน ภาคอุตสาหกรรม และฉนวนอาคารที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งเน้นเรื่องความคุ้มค่าและการประหยัดพื้นที่มากที่สุด

คุณสมบัติสำคัญของฉนวนนาโนแอโรเจล

1. มีค่าการนำความร้อนต่ำมาก (Lowest Thermal Conductivity)

    แอโรเจลเป็นวัสดุที่มีค่าการนำความร้อนต่ำที่สุดวัสดุหนึ่ง โดยมีค่าได้ต่ำสุดถึง01 W/m·K จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับการใช้เป็นฉนวนกันความร้อนที่เน้นเรื่องการลดอุณหภูมิ
    โครงสร้างรูพรุนระดับนาโนจะดักจับอากาศ ช่วยลดการถ่ายเทความร้อนผ่านการพาความร้อนและการนำความร้อน จึงเป็นฉนวนกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในตอนนี้


2. น้ำหนักเบา (Light Weight)

    แอโรเจลประกอบด้วยอากาศมากถึง8% ของปริมาตรรวม ทำให้เป็นวัสดุที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเมื่อเทียบกับฉนวนแบบทั่วไป


3. มีพื้นที่ผิวสูง (Nano Porosity)

    โครงสร้างระดับนาโนให้พื้นที่ผิวมาก จึงช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นฉนวนทั้งเรื่องของความร้อนและเสียง


4. มีคุณสมบัติไม่อมน้ำ (Hydrophobicity)

    นาโนแอโรเจลสามารถทำให้มีคุณสมบัติไม่อมน้ำ (ป้องกันน้ำซึม) ช่วยให้ทนทานต่อความชื้นและเหมาะกับการใช้งานเพื่อแก้ปัญหา CUI (Corrosion Under Insulation of Steel)


5. ทนไฟ (Flame Retardant)

    แอโรเจลไม่ลามไฟ ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานป้องกันไฟและเป็นฉนวนในสภาวะที่มีความเสี่ยงสูง


6. ความทนทานและความยืดหยุ่น (Flexibility and Durability)

    วัสดุฉนวนนาโนแอโรเจลสมัยใหม่สามารถเสริมความแข็งแรงด้วยเส้นใยเพื่อเพิ่มความทนทานและความยืดหยุ่น ทำให้มีอายุการใช้งานยาวนาน คุ้มค่าแก่การลงทุน


การประยุกต์ใช้งานของฉนวนนาโนแอโรเจล

1. ฉนวนกันความร้อนสำหรับอาคาร

    ใช้ในผนัง หน้าต่าง และหลังคา เพื่อให้การป้องกันความร้อนที่มีประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งช่วยประหยัดพื้นที่


2. อุตสาหกรรมการบินและยานยนต์

    ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในยานอวกาศ เครื่องบิน รถยนต์สันดาป และรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งต้องการฉนวนที่มีความบางแต่กันความร้อนได้ยอดเยี่ยม น้ำหนักเบา และมีประสิทธิภาพสูง


3. อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ

    ใช้เป็นฉนวนสำหรับท่อ ถังเก็บ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ในสภาวะอากาศที่รุนแรง


4. เครื่องแต่งกายและอุปกรณ์สวมใส่

    พบได้ในเสื้อผ้าฤดูหนาว ถุงมือ และรองเท้าบูท เพื่อให้การป้องกันความร้อนโดยไม่เพิ่มน้ำหนักหรือความหนา


5.  อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์

    ปกป้องชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ละเอียดอ่อนจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิและความเสียหายจากความร้อน


6. เทคโนโลยีการแช่แข็ง (Cryogenics)

    ใช้เป็นฉนวนในระบบจัดเก็บแบบแช่เย็นจัดและการขนส่งสินค้าที่ต้องรักษาความเย็น


ข้อดีเมื่อเทียบกับฉนวนแบบดั้งเดิม

    ประสิทธิภาพการป้องกันความร้อนที่เหนือกว่า (ประสิทธิภาพสูงกว่าถึง 10 เท่า)
    มีน้ำหนักเบา และประหยัดพื้นที่
    ทนทานต่อความชื้นและมีอายุการใช้งานยาวนาน
    ประสิทธิภาพยอดเยี่ยมในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง (เช่น อุณหภูมิร้อนหรือเย็นจัด)
    Service Cost ต่ำกว่า เมื่อเทียบกับอายุการใช้งานในระยะยาว

29
ซ่อมบำรุงอาคาร: แอร์ไม่เย็น มีแต่ลม แก้ไขอย่างไร

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการแพร่ระบาดของ โควิด-19 ทำให้ หลายคนต้องอยู่บ้านเวิร์คฟอร์มโฮม ทำให้ต้องอยู่บ้านนานมากขึ้นและแน่นอนว่าบ้านไหนที่มีเครื่องปรับอากาศจะต้องถูกใช้งานบ่อยมากขึ้นด้วย ทำให้ค่าไฟพุ่งสูง ซึ่งปฎิเสธไม่ได้เลยว่าการทำงานอยู่ที่บ้านนั้น ส่งผลทำให้เราต้องใช้งานเครื่องปรับอากาศอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ด้วยอากาศที่ร้อนอบอ้าวในแต่ละวัน ทำให้เครื่องปรับอากาศมีความจำเป็นเป็นอย่างมาก หลายบ้านที่มีเครื่องปรับอากาศใช้ก็ต้องหนักใจกับค่าใช้จ่ายที่ต้องเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นค่าไฟฟ้าหรือค่าบำรุงรักษาเครื่องปรับอากาศของเรา เพราะการทำความสะอาด แอร์ในบ้านของเรานั้นมีความจำเป็นที่จะต้องดูแลรักษาความสะอาดอย่างน้อยทุกๆ 3 เดือนเพื่อให้แอร์สามารถทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพและยังดีต่อสุขภาพของคนภายในบ้านด้วย

แต่ในขณะเดียวกันการใช้เครื่องปรับอากาศบ่อยๆ ก็อาจจะทำให้มีปัญหาเกี่ยวกับเครื่องปรับอากาศ เชื่อว่าหลายคนคงเคยพบเจอกับปัญหาแอร์ไม่เย็นและมีแต่ลมออกมา ทำให้รู้สึกหงุดหงิดและเสียค่าใช้จ่ายไปแบบเปล่าประโยชน์ เพราะบางคนแม้ว่าแอร์ไม่เย็นก็ยังฝืนเปิดเครื่องปรับอากาศ ซึ่งการกระทำแบบนี้จะทำให้แอร์ของเราเสื่อมสภาพหรือมีอายุการใช้งานที่สั้นกว่าปกติและต้องมาเสียค่าใช้จ่ายอีกหลายพันบาทเลยทีเดียว ดังนั้น วันนี้ทางเราจะมาพูดถึงการแก้ไขปัญหาแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมออกมา ซึ่งถือว่าเป็นสัญญาณที่บ่งบอกถึงความผิดปกติของแอร์ในบ้านของเรา ที่ต้องได้รับการแก้ไขโดยด่วน หากฝืนใช้ต่อไปแน่นอนว่าจะทำให้แอร์ของคุณพังอย่างแน่นอน

ปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่แอร์เก่าเท่านั้น บางครั้งแอร์ใหม่ที่เพิ่งซื้อมาติดตั้งแล้วใช้งานไปได้สักระยะหนึ่ง ลมที่ออกมาก็ไม่เย็นฉ่ำได้เช่นกัน เพราะฉะนั้น ควรรีบตรวจสอบ และแก้ไขทันที ในเบื้องต้นเราสามารถแก้ไขได้ด้วยตนเองด้วยวิธีง่าย ๆ คือ การปรับโหมดการทำงานให้ถูกต้อง วิธีนี้เป็นวิธีเบื้องต้นที่ง่ายที่สุด และทุกบ้านสามารถตรวจสอบได้ด้วยตนเองว่าขณะที่เปิดใช้งานแอร์นั้น เลือกใช้โหมดการทำงานอยู่ในโหมดใด

เพราะบางครั้งการตั้งค่าโหมดการทำงานของแอร์ที่ไม่ถูกต้อง ก็ส่งผลให้เกิดปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม และ แอร์ไม่ตัด ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนโหมดการทำงานของแอร์ผ่านรีโมทคอนโทรล และหนึ่งในสาเหตุของปัญหา แอร์ไม่เย็นมีแต่ลม นอกเหนือจาก น้ำยาแอร์ขาด และคอมเพรสเซอร์เสีย ก็คือ แคป ซึ่งเป็นตัวเก็บประจุ เกิดความเสียหาย ลองสังเกตง่าย ๆ ว่าแคปรัน ระเบิด เสียหายหรือไม่นั่น คือ หากจับที่ตัวแคปรันแล้วมีคราบน้ำมัน หรือรู้สึกมัน ๆ ก็ให้แน่ใจได้เลยว่าเป็นเพราะแคปเกิดการเสียหาย และสาเหตุสุดท้ายคือ การไม่ล้างทำความสะอาดแอร์ เป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้แอร์เกิดความเสียหาย

โดยเฉพาะแอร์ไม่เย็นมีแต่ลมร้อน การปล่อยให้แอร์มีคราบฝุ่นเกาะฝังแน่นสะสมในปริมาณมากทั้งภายในตัวเครื่อง และตัวคอมเพรสเซอร์ โดยที่ไม่ได้ล้างแอร์เป็นระยะเวลานาน จะส่งผลให้ระบบทำความเย็นของแอร์ทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ แถมลมแอร์ที่ออกมายังไม่บริสุทธิ์ ส่งผลเสียต่อสุขภาพของทุกคนในครอบครัว โดยเราควรที่จะตรวจสอบคราบฝุ่นละอองสะสม โดยการถอดหน้ากากแอร์ออก แล้วดูที่แผงฟิลเตอร์ หรือแผ่นกรองอากาศบริเวณด้านหน้าก็จะเห็นคราบฝุ่น และความสกปรกที่เกาะอยู่ สามารถนำแอร์ฟิลเตอร์ไปล้าง ด้วยน้ำสะอาด และใช้แปรงถูเบา ๆ เพื่อขจัดคราบฝุ่นให้หลุดออกไป แล้วตากให้แห้ง ก็จะช่วยลดฝุ่นละอองได้ในระดับหนึ่ง แต่อย่างไรก็ตาม หากไม่อยากให้เกิดปัญหาแบบนี้เกิดขึ้น ก็ควรหมั่นล้างแอร์ตามระยะเวลา เพื่อให้มีความสะอาด ยืดอายุการใช้งานของแอร์และดีต่อสุขภาพของคนในบ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม หากคุณอยากที่จะตรวจสอบหรือเช็คระบบแอร์โดยช่างที่มีความเชี่ยวชาญ  สามารถขอรายละเอียดได้จากทางเรามีบริการดูแลระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศภายในอาคาร ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก  เพราะนั่นหมายถึงอากาศที่ดีที่เราสูดดมเข้าไป ถ้าหากเรามีระบบเครื่องปรับอากาศที่ไม่สะอาดแล้ว อาจจะทำให้เราเสียสุขภาพไปด้วย

30
พาลูกน้อยเข้ารับการตรวจฟันกับทันตแพทย์จัดฟันเด็ก ต้องเตรียมตัวอย่างไร

ในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กนั้น ถือว่ามีความสำคัญมากเลยทีเดียว ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรที่จะละเลยในเรื่องของการดูแลรักษาความสะอาดของฟันของลูกน้อย เพื่อให้ลูกน้อยมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี นอกจากนี้ พ่อแม่ควรที่จะปลูกฝังให้เด็กรู้จักวิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง รวมไปถึง แนะนำเกี่ยวกับการรับประทานอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพช่องปากและฟันด้วย เพราะเด็กส่วนใหญ่ชื่นชอบการรับประทานอาหารที่มีความหวานหรือแม้กระทั่ง ขนมลูกอมต่างๆ รวมไปถึง น้ำอัดลม ซึ่งต้องบอกว่าอาหารเหล่านี้ เป็นศัตรูกับฟันของเราเลยทีเดียว


เพราะเนื่องจากมีน้ำตาลผสมเป็นจำนวนมากและน้ำตาลนั้น จะส่งผลทำให้เกิดคราบหินปูนและทำให้ฟันของเด็กผุได้ อย่างไรก็ตาม พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะสอดส่องดูแลและช่วยสังเกตพฤติกรรมของเด็กว่ามีความผิดปกติอะไรบ้าง เพราะไม่ฉะนั้น หากปล่อยประละเลยเด็กอาจจะมีฟันผุก่อนวัยอันควรได้ ผู้ปกครอง ไม่ควรมองว่าฟันน้ำนมของเด็กนั้นไม่มีประโยชน์และไม่มีความจำเป็นหรือคิดว่าต่อไปอาจจะมีฟันแท้งอกขึ้นมาแทนที่ จึงปล่อยประละเลยในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก แต่หารู้ไม่ว่าฟันน้ำนมนั้นส่งผลกระทบต่อการขึ้นของฟันแท้ ยิ่งถ้าหากฟันน้ำนมหลุดก่อนเวลาอันควรก็อาจจะทำให้ฟันแท้ขึ้นมาอย่างผิดปกติได้ อาจจะทำให้เด็กมีปัญหาเกี่ยวกับรูปร่างของฟันและต้องเข้ารับการแก้ไขด้วยการจัดฟันในเด็ก

สำหรับการจัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถพาเด็กเข้าตรวจกับทันตแพทย์จัดฟันได้ตั้งแต่ 4-15 ปี เพราะเด็กในช่วงนี้กำลังมีการเจริญเติบโตอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้ดีกว่าตอนวัยรุ่น ยิ่งเด็กที่มีพฤติกรรมการดูดขวดนม ดูดนิ้วซึ่ง จะทำให้เกิดปัญหาฟันได้ง่าย ควรที่จะเข้าพบทันตแพทย์เพื่อเข้ารับการจัดฟันในเด็กตั้งแต่เนิ่นๆ อย่างไรก็ตาม การจัดฟันในเด็กนั้นถือว่าเป็นนวัตกรรมที่มีการพัฒนาไปมากกว่าแต่ก่อน จึงทำให้สามารถแก้ไขปัญหาฟันในเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด อยากจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก แต่ไม่รู้ว่าจะต้องเตรียมตัวอย่างไร วันนี้คลินิกของเรามีคำตอบมาฝาก แล้วจะพูดถึงการเตรียมตัวพาลูกน้อยเข้าพบทันตแพทย์จัดฟัน


สำหรับการเตรียมตัวที่จะเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันในเด็กนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพูดและทำความเข้าใจกับเด็ก เพื่อให้เด็กได้ทราบว่าปัญหาฟันส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน เพื่อให้เด็กได้ตระหนักรู้ และเห็นความสำคัญของสุขภาพช่องปากและฟันสร้างทัศนคติที่ดีต่อสุขภาพช่องปากและฟันให้เด็ก เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้วิธีการทำความสะอาดช่องปากและฟันอย่างถูกต้อง เมื่อพ่อแม่ผู้ปกครองพูดและสร้างความเข้าใจให้กับเด็กแล้วก็สามารถพาเข้าพบทันตแพทย์จัดฟันได้ ซึ่งในขณะที่เด็กเข้าพบทันตแพทย์ พ่อแม่ผู้ปกครองสามารถเข้าพูดคุยร่วมกับทันตแพทย์ได้เพื่อตัดสินใจและเพื่อทราบปัญหาที่แท้จริงของเด็กว่า เด็กมีปัญหาฟันในเรื่องใดและทันตแพทย์จะทำการแก้ไขด้วยวิธีใด เพื่อให้ทราบและจะได้สร้างความเข้าใจให้กับเด็กก่อนว่า ทำไมเด็กจะต้องเข้ารับการจัดฟันเพื่อที่จะได้ดูแลรักษาสุขภาพช่องปากและฟันให้ถูกต้องตามที่ทันตแพทย์แนะนำ

สำหรับ พ่อแม่ผู้ปกครองท่านใด สนใจพาบุตรหลานของท่านเข้ารับการจัดฟันในเด็ก ก็สามารถติดต่อขอรับคำแนะนำได้ที่คลินิกเพราะทางเรามีทีมทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญด้านทันตกรรมในเด็กและมีประสบการณ์ด้านการจัดฟันมาอย่างยาวนานจึงสามารถให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องและสามารถแนะนำให้เข้ารับการรักษาให้เข้ากับปัญหาฟันของเด็ก นอกจากนี้ทันตแพทย์ของเรายินดีให้คำแนะนำเกี่ยวกับสุขภาพช่องปากและฟันของเด็ก เพื่อให้เด็กได้ดูแลรักษาความสะอาดฟันได้อย่างถูกต้อง เพราะเราอยากเห็นเด็กๆทุกคน มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี เพื่อที่จะได้เติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

หน้า: [1] 2 3 ... 6